พาราสาวะถี

ไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยกันอย่างไรสำหรับร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับที่จะรองรับการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบที่ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนหน้านี้


ไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยกันอย่างไรสำหรับร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับที่จะรองรับการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบที่ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนหน้านี้ ปมปัญหาสำคัญคือสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตั้งต้นหาร 100 แต่ทำไปทำมากลับลำมาหาร 500 ประเมินกันอีกทีอีท่าไหนไม่ทราบจะหันกลับไปใช้หาร 100 เหมือนเดิม เมื่อชักเข้าชักออก กลับกลอกกันแบบนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เป็นเล่ห์เหลี่ยมของขบวนการสืบทอดอำนาจ ไม่อยากให้ตัวเองต้องถูกเบียดตกกระป๋องจากการเลือกตั้งครั้งต่อไป

สัญญาณเรื่องนี้ไม่มีอะไรชัดไปกว่าบทสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แน่นอนการปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เป็นสูตรสำเร็จอยู่แล้ว ก่อนที่จะสำทับด้วยการย้ำว่า ไม่มีแผนอะไรสำรองทั้งนั้น และยิ่งชัดเข้าไปอีกว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร เมื่อเนติบริกรศรีธนญชัยฟันธงว่า “ถ้าไม่เสร็จจริง ๆ ก็เป็นความบกพร่องของรัฐสภา” แล้วกลับไปใช้ร่างเดิมในทุกมาตรา ไม่ใช่แค่มาตราหาร 100 แต่รวมไปถึงมาตราอื่น ๆ ด้วย

อย่างที่บอกว่า เพื่อไม่ให้เกิดภาพของความกลับกลอกต่อสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แล้วมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ตั้งแต่พรรคร่วมรัฐบาลไปจนถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ในฐานะคนสั่งการให้ใช้สูตรหาร 500 ทั้งที่เดิมทีเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นมติของฝ่ายรัฐบาลเองเดินหน้าหาร 100 กันมาอย่างเต็มสูบ วิธีการปล่อยให้นักเลือกตั้งและพวกลากตั้งเป็นจำเลยของสังคมเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะเท่ากับว่าสูตรที่เป็นปัญหาจะกลับไปใช้หาร 100 ดังเดิม

แต่ปัญหามันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่สะเด็ดน้ำไม่ว่าจะหารแบบไหน ปลายทางก็ต้องถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอยู่ดี หากมีการชี้ว่าสิ่งที่คิดกันมาสูตรไหน แบบไหนก็ตาม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ นั่นเท่ากับว่า ทุกอย่างต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นกันใหม่ เมื่อมาถึงจุดนี้ก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องตั้งต้นแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่ จะใช้สูตรใบเดียวหรือสองใบตรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจ เท่ากับประเด็นที่ว่าจะมีการพ่วงแก้ไขปมกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปีเข้าไปด้วยหรือไม่

มองกันอาจจะดูว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งสองเรื่อง แต่ในยุคที่เผด็จการสืบทอดอำนาจบริหารบ้านเมือง อะไรที่ไม่เคยเห็น สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครทำกัน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ในเมื่อกระบวนการคิดและตัดสินใจทุกอย่าง ไม่ได้ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปฏิรูปการเมือง หากตั้งใจทำกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ยึดอำนาจมากว่า 8 ปี ถามว่าการเมืองมันจะเต็มไปด้วยการแจกกล้วย เลี้ยงงูเห่า หนักข้อกว่าการเมืองชั่วการเมืองเลวก่อนการรัฐประหารหรือไม่

ขณะเดียวกัน การปลดล็อกเงื่อนไขการอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ไม่เกิน 8 ปีนั้น มันก็สอดรับกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าด้วยการเตรียมความพร้อมของพรรคที่จะรองรับการอยู่ยาวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไป เห็นรายชื่อคณะผู้บริหารของพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าตั้งมาเพื่อใคร วันนี้แม้ไม่เปิดปากยอมรับว่าจะสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ แต่คำตอบของคนที่เป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย

สิ่งที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติอ้างว่า การจะเสนอชื่อใครต้องให้เป็นมติของที่ประชุมพรรคนั้น มันคือหลักการที่ยึดกันมาแบบนี้ทุกพรรค และเป็นคำตอบเพื่อใช้เลี่ยงบาลีในประเด็นที่ว่าพรรคนี้ไม่ได้ตั้งมาเพื่อเป็นพรรคหลักในการสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เมื่อถอดรหัสจากสิ่งที่คนเป็นหัวหน้าพรรคพูด ยิ่งฉายภาพชัดเข้าไปอีกว่าพรรคนี้คนที่จะเป็นแม่เหล็กดึงคะแนนให้ต้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าพรรคตั้งเป้ากวาด ส.ส.ภาคใต้หมดทุกเก้าอี้ รวมไปถึงจะมีคนต่างพรรคย้ายเข้ามาสังกัดอีกจำนวนมาก ลองหันไปมองว่าเวลานี้พื้นที่ภาคใต้พรรคไหนที่ได้ ส.ส.มากที่สุด และความนิยมของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ดำดิ่งลงทุกวันนั้นเป็นไปแทบจะทุกที่ เว้นที่ภาคใต้ นั่นก็หมายความว่า พรรคนี้ตั้งขึ้นก็เพื่อที่จะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอุ่นใจ และมั่นใจว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีพรรคที่สนับสนุนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่แทงกั๊ก

ส่วนประเด็นที่มีการยืนยันหลังประชุม ครม.เมื่อวันอังคาร วันนี้ยังอยู่กับพรรคสืบทอดอำนาจ และมีความคิดที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรค ไม่ขอพูดถึงอนาคตว่าจะนั่งหัวหน้าพรรคเองหรือไม่ ถอดรหัสก็คือพูดเป็นมารยาท รักษาน้ำใจพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เพราะการอยู่ในตำแหน่งได้ขณะนี้ มีมือไม้ของพรรคแกนนำรัฐบาลคอยค้ำยันอยู่ แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคที่เคยสนับสนุนยังไม่กล้าประกาศความชัดเจนเลยว่าจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว และต้องเป็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้นหรือไม่

ประการต่อมาที่บอกว่ามีความคิดจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคก็ไม่ได้บอกว่าจะเป็นพรรคไหน เช่นเดียวกับการนั่งเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งประเด็นนี้ไม่มีความสำคัญหากยึดเอามติของพรรคตามที่พีระพันธุ์ว่า การจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่สามารถชงได้ 3 คนนั้น ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่ต้องไม่ลืมเป็นอันขาด คือ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมี ส.ส.สายตรงที่อยู่ภายในพรรคแกนนำรัฐบาลจำนวนหนึ่ง ซึ่งคนเหล่านี้พร้อมที่จะย้ายตามท่านผู้นำไปทุกที่ ทุกพรรคเหมือนกัน

เมื่อมองไปยังความขัดแย้งภายในพรรคสืบทอดอำนาจ และการขาลอยของบรรดารัฐมนตรีและ ส.ส.สายตรงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ นั่นย่อมทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้นเพียงแค่ท่านผู้นำเอ่ยปาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พีระพันธุ์กล้าประกาศทั้งที่นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง จะมี ส.ส.อีกจำนวนมากที่จะย้ายมาสังกัด ไม่ใช่เพียงแค่คนของพรรคสืบทอดอำนาจเท่านั้น ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกดูดไม่ต่างจากก่อนการเลือกตั้งหนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ทางการเมืองก็จะเป็นการที่ทำให้คนเหล่านั้นตัดสินใจได้ง่ายด้วยเช่นกัน ไม่เกินปลายไตรมาสนี้หรือต้นไตรมาสสุดท้ายเราจะได้เห็นภาพชัดขึ้น

Back to top button