SCC-AJ ผูกสัมพันธ์ธุรกิจ

การจับมือกันระหว่าง SCGC กับ AJ ในครั้งนั้น มีความน่าสนใจ เพราะเป็นการ “เปิดจุดโต...เสริมจุดแข็ง” ของกันและกัน..!!


หลังจากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กับบริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJ ผูกข้อไม้ข้อมืออยู่กินกันมาเกือบ 2 ปี โดยตอนนั้น SCC ได้ส่งบริษัทลูกบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP ของ AJ จำนวน 40.56 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 9.22% และก้าวขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3…

สเต็ปถัดมา ทั้งคู่ได้ร่วมกันตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อว่า บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ (เวียดนาม) จำกัด (AJVN) มีทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท โดย SCGC ถือหุ้น 45% ส่วน AJ ถือ 55% เพื่อผลิตและจำหน่ายฟิล์ม Biaxially Oriented (BO Film) ในประเทศเวียดนาม

ต้องบอกว่า การจับมือกันระหว่าง SCGC ซึ่งทำธุรกิจปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทย กับ AJ เป็นผู้ผลิตฟิล์มสำหรับบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนในครั้งนั้น มีความน่าสนใจ เพราะเป็นการ “เปิดจุดโต…เสริมจุดแข็ง” ของกันและกัน..!!

ในมุมของ SCGC…อันดับแรก เป็นการข้าสู่ธุรกิจที่เป็นปลายน้ำ เป็นไฮแวลู ซึ่งมีการเติบโตสูงจากความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มมากขึ้น…

ถัดมา มีโอกาสขายปิโตรฯ ที่เป็นเม็ดพลาสติกมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ให้กับ AJ และบริษัทร่วมทุนได้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการปูทางเพื่อขยายธุรกิจ BO Film ไปในตลาดอาเซียน ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

สุดท้าย เมื่อบริษัทร่วมทุนเติบโตดี ก็จะกลับคืนสู่ SCGC ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยมี SCC อยู่บนห่วงโซ่สูงสุด

ฟาก AJ ก็ได้อัพสถานะขึ้นมาเป็นพันธมิตรของ SCC และจะทำให้ AJ มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจาก SCC มีความพร้อมด้านเงินทุนอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน AJ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนอยู่แล้ว ก็สามารถใช้โนว์ฮาวที่มีไปพัฒนาต่อยอดบรรจุภัณฑ์ภายใต้ AJVN ให้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้มีความหลากหลาย มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น…

นี่ก็แว่ว ๆ มาว่าความร่วมมือกันในเฟสแรก ใกล้สัมฤทธิ์ผลแล้ว โดย AJVN ซึ่งได้ลงทุนในสายการผลิตฟิล์มดึงยืดสองทิศทางจากพลาสติกโพลีโพรพีลีน (polypropylene) (BOPP) ในประเทศเวียดนาม คาดจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566

แต่ไม่จบแค่นั้น เพราะล่าสุดทั้ง 2 บริษัท เตรียมเพิ่มการลงทุนใน AJVN เพื่อขยายกำลังการผลิตในเฟส 2 ตามสัดส่วนการถือหุ้น สำหรับการลงทุนในสายการผลิตฟิล์มดึงยืดสองทิศทางจากพลาสติกโพลีเอทีลีนเทเรฟทาเลต (polyethylene terephthalate) (BOPET) ในประเทศเวียดนาม โดยเป็นการจัดหาวัสดุหลักในการผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Flexible Packaging) สำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567

สำหรับโครงการดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 22.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 851 ล้านบาท โดย SCGC จะใส่เงินเข้าไปจำนวน 10.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 383 ล้านบาท ส่วน AJ จะใส่เงินเข้าไปจำนวน 12.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 468 ล้านบาท

ถือเป็นการเปิดเกมรุกตลาดเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตร้อนแรงเต็มสูบเลยนะเนี่ย..!!

ดูท่าแล้ว AJVN คงเป็นเครื่องจักรในการผลิตรายได้และกำไรให้กับ SCGC และ AJ ได้มากโขทีเดียว…

ทั้งหมดนี้ เป็นความเคลื่อนไหวของ SCGC กับ AJ ที่ตอกย้ำว่า สายสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังแนบแน่นอยู่นะ คงไม่เห็นการหย่าร้างทางธุรกิจของคู่นี้หรอก (มั้ง)..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button