STGT-STHAI กลับคืนสู่สามัญ.!

ถ้าพูดถึง STHAI เป็นหุ้นที่แทบไม่มีใครรู้จัก เพราะนอกจากสภาพคล่องต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว ยังติดกับดักทั้งเครื่องหมาย SP, NP และ NC


ถ้าพูดถึงบริษัท ซันไทยอุตสาหกรรมถุงมือยาง จำกัด (มหาชน) หรือ STHAI เป็นหุ้นที่แทบไม่มีใครรู้จัก เพราะนอกจากสภาพคล่องต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว ยังติดกับดักทั้งเครื่องหมาย SP, NP และ NC ทำให้ถูกแช่แข็ง (พักการซื้อขาย) มาหลายปีแล้ว…

ยิ่งทำให้หุ้น STHAI แทบกลืนหายไปจากตลาดฯ (ยกเว้นนักลงทุนรายย่อย 1,638 คน ที่คงจำไปจนวันตาย เพราะยังติดบ่วงหุ้น STHAI อยู่นั่นเอง)..!!

แต่ในระหว่างนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเข้าเทรดของผู้ผลิตถุงมือยางยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ของโลก อย่างบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เมื่อช่วงกลางปี 2563 (2 ก.ค. 2563) ซึ่งทำให้หุ้นถุงมือยางเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ที่มากไปกว่านั้น หลังเกิดวิกฤตโควิด ทำให้หุ้นถุงมือยางและที่เกี่ยวข้องวิ่งกระจุยกระจาย โดยเฉพาะ STGT เคยขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 49.00 บาท เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2564 จากราคาไอพีโอที่ 34 บาท…แต่น่าเสียดายที่หุ้น STHAI อยู่ระหว่างพักการซื้อขาย ไม่งั้นก็คงวิ่งกะเค้าด้วยแหง ๆ…

แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ STHAI ลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งไม่ใช่แค่พลิกมามีกำไรเท่านั้นนะ แต่เป็นการโตแบบก้าวกระโดดเลยแหละ โดยปี 2563 มีรายได้รวม 1,185 ล้านบาท กำไรสุทธิ 325 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 28.61% ส่วนปี 2564 มีรายได้รวม 1,434 ล้านบาท กำไรสุทธิ 370 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 29.92%

ฟาก STGT นี่ไม่ต้องพูดถึง เติบโตมโหฬาร…ปี 2563 มีรายได้รวม 30,692 ล้านบาท กำไรสุทธิปาไป 14,400 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 46.92% และปี 2564 มีรายได้รวม 48,019 ล้านบาท กำไรสุทธิพุ่งไป 23,704 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 49.36%

แถม STGT ยังใจป้ำ จ่ายปันผลแบบจัดหนักจัดเต็มอีกด้วย…ก็อิ่มเอมกันถ้วนหน้า…

แต่อิ่มเอมกันได้ไม่ถึง 2 ปี หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย ตลาดถุงมือยางที่เคยเป็นน่านน้ำสีคราม หรือ Blue Ocean เริ่มเปลี่ยนเป็นน่านน้ำสีเลือด หรือ Red Ocean ซะงั้น…ทำให้ผลประกอบการของทั้งสองบริษัทตกต่ำลงเรื่อย ๆ

เห็นได้ชัดจากงบไตรมาส 3/2563 ของ STHAI ที่พลิกมาขาดทุน 14 ล้านบาท ลดลง 121.41% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีกำไรอู้ฟู่ 67 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 123 ล้านบาท ลดลง 65.42% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีรายได้จากการขาย 356 ล้านบาท

สาเหตุมาจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ประกอบกับมีอุปทานในตลาดมากขึ้น จากการเพิ่มกำลังการผลิตของบริษัทต่าง ๆ

ส่วน STGT แม้ไม่ถึงขั้นขาดทุน แต่กำไรสุทธิก็ทรุดหนัก เหลือแค่ 21 ล้านบาท ลดลง 99.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 4,532 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 4,884 ล้านบาท ลดลง 55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีรายได้จากการขาย 10,864 ล้านบาท

เป็นผลมาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตามราคาถุงมือยางในตลาดโลก จากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด ในขณะที่อุปทานโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นสูง ประกอบกับปริมาณการขายได้ปรับตัวลดลงจากการแข่งขันในตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

กลายเป็นบทเรียนการกลับคืนสู่สามัญของ STGT และ STHAI..!!

โดยเฉพาะ STGT ที่ราคาหุ้นทรุดจนกู่ไม่กลับแล้วเกือบ 80% จากราคาสูงสุดที่ 49.00 บาท โดยปัจจุบันซื้อขายกันที่ 10 บาทเศษเท่านั้น

แต่เอ๊ะ..มีอีกถุงหนึ่งที่เคยซบเซาช่วงโควิด ตอนนี้กลับมาอู้ฟู่แล้วนะ นั่นคือยอดขายถุงยางของบริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ที่เติบโตระเบิดระเบ้อ จนไตรมาส 3/2565 ฟาดกำไรสุทธิไป 129 ล้านบาท…รับการกลับมาของธุรกิจอาบ อบ นวด ค่ะคุ้ณณณ…

…อิ อิ อิ…

Back to top button