พาราสาวะถี

การปรับ ครม. 3 เก้าอี้รอบนี้ เป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประเทศชาติและประชาชน


ไม่ใช่นายกฯ คนละครึ่ง แต่เป็นรัฐมนตรีคนละครึ่งกับการปรับ ครม. 3 เก้าอี้รอบนี้ เป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประเทศชาติและประชาชน เพราะนี่เป็นการขยับเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลักดันเด็กในคาถา ทำตามสัญญาเพื่อให้คนของตัวเองได้มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร เพื่อใช้เป็นอาวุธสำคัญสำหรับการสู้ศึกช่วงชิงเก้าอี้ ส.ส. ประสาประเทศที่ยังไม่พัฒนา ใครถือครองอำนาจย่อมได้เปรียบ

อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ผ่านการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้การหย่อนบัตรครั้งหน้าจะเป็นระบบบัตร 2 ใบ การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใช้สูตรหาร 100 ส่งผลให้บรรดาเซียนการเมืองต่างชี้นิ้วไปที่แลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ว่ากันว่าจำนวน ส.ส.จะทิ้งห่างกันเป็นช่วงตัว หากเป็นเช่นนั้นจริงโอกาสที่พี่ใหญ่กับน้องเล็กจะได้กลับมาจับมือกันตั้งรัฐบาลคงเป็นไปได้ยากขึ้น

แม้จะสามารถรวบรวมเสียงได้เกิน 125 เสียงเพื่อไปบวกกับ 250 เสียง ส.ว.ลากตั้ง จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร นั่นย่อมส่งผลถึงเสถียรภาพของคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อให้พี่ใหญ่ใจดียกให้น้องเล็กเป็นอีก 2 ปีก็อยู่กันลำบาก การจะใช้วิธีแจกกล้วยเลี้ยงงูเห่าเหมือนสภาที่มี ส.ส.เอื้ออาทรจะทำไม่ได้อีกต่อไป นี่ยังไม่พูดถึงพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันอย่างภูมิใจไทยที่ถูกคาดหมายว่าจะได้จำนวน ส.ส.มาเป็นอันดับสอง เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่หันไปจูบปาก อุ้มสมเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกแล้ว

จากรูปแบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้บรรดาพรรคเล็กทั้งหลายจากที่เคยได้อานิสงส์ของการเคาะสูตรคำนวณ ส.ส.ที่ไม่เอาไหนของ กกต. ต้องยุบสลายกันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็จะโยกไปรวมกับพรรคขนาดกลางเพราะยังมีความหวังที่จะได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.ไม่ว่าจะระบบเขตหรือปาร์ตี้ลิสต์ เพราะพรรคใหญ่ทั้งหลายได้มีการจัดวางตัวบุคคลไว้เกือบทั้งหมดแล้ว อีกส่วนก็จะจับมือในหมู่พรรคเล็กกันเองรวมเป็นหนึ่งพรรค ซึ่งทั้งหมดจะมีความชัดเจนในเร็ววันนี้

ขณะที่พรรคขนาดกลางที่ต่อไปนี้จะรวมไปถึงพรรคสืบทอดอำนาจด้วย ก็ต้องดิ้นในการที่จะรั้งตัว ส.ส.ที่มีให้อยู่กับพรรคต่อไป สำหรับภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล ดูแล้วไม่มีปัญหา เหลือเพียงแค่ว่าจะสามารถดึงตัวพวกที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้าให้มาอยู่ร่วมชายคาได้หรือไม่เท่านั้น หลังจากที่ร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ถูกตีตก ทำให้พวกที่จะย้ายคอกจำนวนหนึ่งต้องคิดหนัก โดยเฉพาะผู้ที่เป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย มีความเสี่ยงสูงเปลี่ยนสีเสื้อเท่ากับสอบตกไปครึ่งตัว

ส่วนประชาธิปัตย์ ประเภทย้ายเข้าท่าจะยาก จะมีแต่ย้ายออก ทำให้เวลานี้บรรดาแกนนำพรรคจึงตั้งป้อมที่จะรักษาเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ไว้เป็นหลัก รวมทั้งต้องให้ได้จำนวนเพิ่มมาจากเดิมด้วย จึงทุ่มเทสรรพกำลังทุกอย่างไปยังพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ จนทำให้บรรดาว่าที่ผู้สมัครจากพื้นที่อื่นอึดอัด และกำลังพิจารณาจะย้ายพรรคกันดีหรือไม่ ไม่เว้นแม้แต่ กทม.ที่พบว่าผู้สมัครหลายรายที่วางตัวไว้แล้วมองเห็นทิศทางพ่ายแพ้รออยู่ตรงหน้า จึงต้องไปหาที่หมายใหม่ ถือเป็นจุดตกต่ำของพรรคเก่าแก่อย่างแท้จริง

สิ่งที่ผู้ติดตามข่าวสารการเมืองให้ความสนใจเป็นพิเศษ น่าจะเป็นการแย่งชิงตัว ส.ส.และผู้สมัครระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กเสียมากกว่า จากเดิมที่คาดหมายว่าร่างกฎหมายเลือกตั้งน่าจะมีปัญหา ทำให้บางพวกลังเลจ้องที่จะทิ้งพรรคสืบทอดอำนาจ แต่พอสถานการณ์พลิกผันคนเหล่านั้นที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนใหญ่ ตัดสินใจกลับหลังหันอยู่ที่เดิม พร้อม ๆ กับการดูแลชนิดใจถึงพึ่งได้ของพี่ใหญ่ ที่เห็นได้ชัดเจนคือบรรดา ส.ส.ภาคใต้ที่มีอยู่ 18 ราย เดิมทีจะหายไปเกินครึ่ง แต่ตอนนี้มีที่จะไปรวมไทยสร้างชาติแค่ 4 คน

ยืนพื้นโดย สายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่เจ้าตัวประเมินด้วยตัวเองว่าถ้าลงพรรคเดิมจะแพ้คู่แข่งจากประชาธิปัตย์ รวมไปถึงภูมิใจไทยได้ ต้องอาศัยบารมี คะแนนนิยมของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ในพื้นที่ถือว่าดีกว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. พ่วงด้วยส.ส.สงขลาของพรรคแกนนำรัฐบาลอีก 3 รายที่จะย้ายพรรคแน่ ส่วนที่เหลือขออยู่สู้ต่อไปกับพี่ใหญ่ นั่นจึงเป็นที่มาของสโลแกนที่ว่า “รักตู่ อยู่กับลุงป้อม” มิหนำซ้ำ ยังมีข่าวว่า นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จะทิ้งสร้างอนาคตไทยมาถือธงนำคนของพรรคสืบทอดอำนาจสู้ศึกในภาคใต้ด้วย ไม่อยากนึกภาพเลือกตั้งครั้งหน้าสนามปักษ์ใต้จะดุเด็ดเผ็ดมันขนาดไหน

ท่ามกลางการแข่งชิงบรรดาตัวเต็งของพรรคที่พี่ใหญ่อุตส่าห์บอกว่าเป็นพรรคเดียวกันนั่นเอง จึงปรากฏข่าวคู่ขนานกันมาว่า การตกปลาในบ่อพี่หรือบ่อเพื่อน มีมูลค่าของพลังดูดกระโดดไปสูงถึง 8 หลักปลาย ๆ ถ้าใกล้เวลาที่จะต้องเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง หรือพูดง่าย ๆ ถึงเดดไลน์ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะยุบสภาตัวเลขของพลังดูดจะขยับไปเป็นตัวเลข 3 หลักกันเลยทีเดียว หากเป็นเช่นนั้นจริงมันก็เป็นโจทย์ของคนดีที่อ้างเรื่องปฏิรูปประเทศทั้งหลาย ลงทุนกันไปขนาดนั้นมันจะไม่ถอนทุนคืนกันได้อย่างไร

ฟากพรรคเพื่อไทยแม้ว่าระบบการเลือกตั้งใหม่จะเอื้อต่อทิศทางแลนด์สไลด์เป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างที่บอกไว้แล้ว การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน เพราะการดิสเครดิตกันด้วยวิธีการต่าง ๆ จะเริ่มหนักหน่วงขึ้นตามกระแสการเมืองที่เข้มข้น จับอาการได้จากข่าวการทลายกลุ่มทุนจีนสีเทาที่มีการเชื่อมโยงไปถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทใหญ่อย่างเอสซี แอสเสทฯ หนีไม่พ้นจะให้เกี่ยวพันไปถึงตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นี่แค่น้ำจิ้มยังจะมีอะไรตามมาอีกเยอะ

กระนั้นก็ตาม ปฏิบัติการไอโอที่ขบวนการสืบทอดอำนาจใช้ในการลดทอนความน่าเชื่อถือหรือทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เคยได้ผลมาตลอด นาทีนี้ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เป็นผลมาจากความไม่เอาไหนในการบริหารงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ คนไทยให้โอกาสมากว่า 8 ปีแล้ว แต่ไม่มีปัญญาทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มันจึงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง พวกไอโอรับจ้างที่ยังไร้สมองก็ก้มหน้าก้มตาปั่นกระแสต่อไป สุดท้ายนอกจากทำร้ายทำลายคู่แข่งไม่ได้ มันยังจะย้อนกลับมาขย่มคนที่อยู่เบื้องหลังและพวกหวังที่จะอยู่ยาวอีกต่างหาก

Back to top button