พาราสาวะถี

เป็นธรรมดาของการเมืองปลายสมัย ความวุ่นวาย การเตะตัดขากันเองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ประชาธิปัตย์ฟัดภูมิใจไทยไม่เลิก


เป็นธรรมดาของการเมืองปลายสมัย ความวุ่นวาย การเตะตัดขากันเองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ย้ำมาโดยตลอดไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจพรรคประชาธิปัตย์ฟัดภูมิใจไทยไม่เลิก ทั้งที่ตอนร่วมรัฐบาลหมาด ๆ ในฐานะผู้ตระบัดสัตย์กลืนน้ำลาย ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ แต่เข้าร่วมรัฐบาลไปสุมหัวกับ ส.ว.ลากตั้ง โหวตเลือกผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้กลับมาเป็นรัฐมนตรีเหมือนกัน พอจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งรอบใหม่จึงต้องช่วงชิงความได้เปรียบในการเหยียบหัวเพื่อนเพื่อหวังคะแนนเสียงในพื้นที่เป้าหมาย

อย่างที่บอกภาคใต้และ กทม.คือสมรภูมิที่พรรคเก่าแก่ตั้งความหวังไว้เป็นอย่างมาก แต่พรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ดันวางหมุดหมายที่จะเพิ่มเก้าอี้ ส.ส.ในภาคใต้ให้ได้ และทำท่าว่าจะสำเร็จเสียด้วย เมื่อกระแสตอบรับดีไม่แพ้พรรคที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไปสังกัด เช่นเดียวกันกับเป้าหมายมี ส.ส.ในพื้นที่เมืองหลวง ซึ่งวิธีการของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลหนีไม่พ้นการตกปลาในบ่อเพื่อน แต่กรณีของภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ไม่ใช่ปมพลังดูด หากเป็นเรื่องพลังเสียงที่ต้องช่วงชิงกันในพื้นที่ภาคใต้

การตอบโต้รายวันของบรรดาลิ่วล้อทั้งสองพรรค เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล่า ส.ส.และแกนนำในพื้นที่ภาคใต้เกือบทั้งหมด ยิ่งปมร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ คือจุดชี้วัดความแตกหักระหว่างสองพรรค หากปล่อยผ่านไปได้ไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ในสภาของประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่มันจะหมายถึงโอกาสปราชัยในสนามเลือกตั้งด้วย ดังนั้น จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภา ขณะที่อาการดิ้นของพรรคต้นเรื่องที่ไล่เรียงตั้งแต่หัวหน้าพรรคไปจนถึงชั้นปลายแถว ก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าไม่ใช่กลัวเสียหน้า แต่มันหมายถึงคะแนนเสียงที่จะเสียหายในการเลือกตั้งด้วย

ถึงขนาดที่ว่า ส.ส.ของพรรคและ ส.ส.งูเห่ากินกล้วยถึงขั้นจับมือกันตั้งโต๊ะแถลงข่าวขู่ฟ่อด ๆ จะลาออกกันไม่น้อยกว่า 30 คนถ้าร่างกฎหมายกัญชาไม่ผ่านสภา เดิมทีก็หวังว่าจะสามารถทำให้พรรคสืบทอดอำนาจที่เล่นบทแทงกั๊กไม่ยอมเปิดหน้าแสดงตัวว่าหนุนร่างกฎหมายดังกล่าวเต็มที่ แต่การที่เสี่ยหนูพร้อมคณะจ้องฉกเอา ส.ส.ในกทม.ของพรรคแกนนำรัฐบาลไปร่วมงานหลายราย มันจึงกลายเป็นชนวนทำให้ต้องทบทวนท่าที ท้ายที่สุดก็ไม่ต่างจากพรรคเก่าแก่ที่ต้องเตะตัดขาเหมือนกัน

บรรยากาศทางการเมืองที่ว่าด้วยการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งนั้น แรงกดดันเกิดขึ้นกับทุกพรรค แต่จะหนักหน่วงในซีกของฝ่ายรัฐบาล เพราะดันเล่นไม่ซื่อซื้อตัวข้ามพรรคกันอุตลุด ไม่เว้นแม้แต่พรรคใหม่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่จำเป็นจะต้องมี ส.ส.ให้ได้ไม่น้อยกว่า 25 คน เพื่อใช้สิทธิในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภา จึงต้องอาศัยสารพัดวิชา แต่สำหรับนักเลือกตั้งตัวชี้วัดที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายและเร็วที่สุด คือ กระสุนดินดำ

บอกไปแล้วว่าราคาเวลานี้ไหลไปถึงระดับแปดหลักปลาย ๆ เมื่อแต่ละพรรครู้ทัน และพยายามล็อบบี้ หว่านล้อมคนที่อยู่ในข่ายจะย้ายกันอย่างเต็มที่ ตัวเลขที่ว่านั้นมันจึงจะไหลไม่หยุดแน่ เชื่อได้เลยว่าก่อนถึงวินาทีสุดท้ายที่จะเปิดตูดย้ายคอกกันได้ ตัวเลขจะไหลไปถึง 3 หลักพ่วงด้วยเงื่อนไขถ้าได้เป็นรัฐบาลหากย้ายตามกันมามากแล้วเข้าเป้าจะปูนบำเหน็จด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี ข้อเสนอดี ๆ แบบนี้เหมาะสำหรับพวกชอบเชลียร์แล้วเลือกไปอยู่ข้างผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เห็นได้จากรัฐมนตรีใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งกันไป

ผิดจากที่บอกเสียที่ไหนกับกรณี วีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคสืบทอดอำนาจ ให้สัมภาษณ์ ส.ส.ของพรรคเตรียมจะย้ายพรรคกันล็อตใหญ่ เป้าหมายหลักคือ ไปอยู่ร่วมชายคาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่รวมไทยสร้างชาติ ถึงขนาดที่บอกว่า ส.ส.กทม.ของพรรคแทบไม่เหลือ เปลี่ยนสีเสื้อกันเกือบหมด หนีไม่พ้นที่จะไปสังกัดพรรคใหม่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และไปเข้าคอกภูมิใจไทยที่วางเป้าหมายชัดปักธงมี ส.ส.เมืองหลวง โดยน้ำเลี้ยงดูแลกันไม่อั้น

สำหรับปมว่าด้วยการยุบสภาล้านเปอร์เซ็นต์ซึ่งวีระกรก็ยืนยันด้วยนั้น มันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ต่างกันเพียงเงื่อนเวลาที่ว่าน่าจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ก่อนครบวาระไม่นานนัก ปัจจัยสำคัญที่จะต้องยุบสภาก็เพื่อที่จะให้บรรดา ส.ส.ที่ต้องการย้ายพรรค สามารถสังกัดพรรคใหม่ได้ทันกรอบเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องมานับวันว่าจะครบ 90 วันก่อนวันเลือกตั้งหรือไม่หากรัฐบาลอยู่ครบวาระ เพราะการยุบสภาเงื่อนไขของการสังกัดพรรคจะสั้นลงเหลือแค่ 30 วันเท่านั้น

ขณะที่กรอบเวลาของการจัดการเลือกตั้ง ถ้าอยู่ครบวาระจะต้องดำเนินการภายในเวลาไม่เกิน 45 วัน ถ้า กกต.ดันประกาศความพร้อมจัดเลือกตั้งได้เร็วกว่าที่เคยวางไทม์ไลน์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 บรรดาพวกที่จะย้ายพรรคดันยื้อเวลาลาออกจาก ส.ส.และย้ายพรรคช้าก็มีอันต้องชวดลงเลือกตั้งไปโดยปริยาย แต่การเลือกตั้งที่เกิดจากการยุบสภา กฎหมายระบุไว้ชัด กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลาที่ไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน

นั่นหมายความว่ากรอบเวลาสำหรับการสังกัดพรรค 30 วันยังไงก็เหลือเฟือ ถามว่าเงื่อนไขแบบนี้จะเอื้อกับพรรคการเมืองใดที่สุด เมื่อกางปฏิทินให้เห็นภาพกันแล้ว จึงเหลือแค่รอจังหวะสำหรับบรรดาพวกที่จะเปลี่ยนสีเสื้อกันเท่านั้น เวลานี้ที่เราจะได้เห็นกันถี่ขึ้นคงเป็นเรื่องการโจมตี ใช้ปฏิบัติการไอโอเพื่อหยุดการแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย แน่นอนว่า ปม “ทุนสีเทาจากจีน” ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เล่นงาน จนกระทั่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง เอสซี แอสเสทฯ ต้องออกมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

กรณีนี้ถือเป็นความเส็งเคร็งของพวกรับจ้างทำไอโอ เหมือนที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยว่า ที่เงียบไปไม่ใช่เพื่อไทยแต่เป็นพลังประชารัฐพูดให้ชัดได้ไหมว่าเป็นเพื่อนทุนจีนสีเทาอย่างไร ที่บริจาคมาเป็นเงินสด หรือโอนเข้าบัญชี แล้วเรื่องมาถึงขั้นนี้จะจัดการอย่างไรกับเงินนั้น ทางหนึ่งไล่จับ แต่เงินก็จะงับไว้อย่างนั้นหรือ ส่วนที่พยายามพาดพิงถึงเพื่อไทย บริษัทที่ถูกกล่าวหาก็แจกแจงชัดแล้ว มีขั้นตอนโปร่งใส แต่พรรคที่รับเงิน คือ เอามาให้ตรง ๆ พร้อมเปิดตัวคนให้ในระบบด้วย อยู่มา 8 ปีคนพวกนี้สยายปีกใหญ่โตถึงขั้นเป็นผู้มีอุปการคุณของพรรคแกนนำรัฐบาล ไม่มีใครพูดอะไรหน่อยหรือ

Back to top button