ช่วงสั้นมองตลาดยังขาดปัจจัยชี้นำ

ตัวเลขตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นในระดับสูงที่ 2.63 แสนตำแหน่ง เป็นเพราะการจ้างงานภาคบริการที่ยังคงแข็งแกร่งจากการเปิดประเทศ


InnovestX มองว่า ตัวเลขตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้นในระดับสูงที่ 2.63 แสนตำแหน่ง เป็นเพราะการจ้างงานภาคบริการที่ยังคงแข็งแกร่งจากการเปิดประเทศทำให้มีความต้องการด้านบริการ อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นการจ้างงานภาคบริการบางภาค เช่น ค้าปลีก เริ่มหดตัวลง ซึ่งมองว่า ในระยะต่อไปการจ้างงานภาคบริการจะเริ่มชะลอลงหรือหดตัวแรงขึ้นจากเงินออมส่วนเกินที่เริ่มหมดลงจะทำให้ชาวอเมริกันเริ่มชะลอการใช้จ่ายโดยหันมาใช้จ่ายสินค้าจำเป็นแทนทำให้การใช้จ่าย ค่าจ้าง และเงินเฟ้อชะลอลงในระยะต่อไป

ส่วนการเปิดเมืองของจีน ที่ทาง Politburo ผลักดันอย่างรวดเร็วนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางการจีนหันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมากขึ้น หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกและจีนชะลอลงมาก อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศในช่วงต่อไปอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้น แต่ InnovestX เชื่อว่าจีนจะยังคงเพิ่มระดับการเปิดประเทศต่อเนื่อง โดยอาจมีการหันกลับมาคุมเข้มขึ้นบ้างหากการระบาดมีมากขึ้น แต่ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง ทำให้จีนจะสามารถเปิดประเทศได้ตามเป้าที่ไตรมาส 2/66 ซึ่งจะเป็นบวกกับเศรษฐกิจและการลงทุนจีน

ในส่วนของราคาน้ำมัน InnovestX เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ราคาลดลงนั้นเป็นเพราะความต้องการที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจ โดยตัวเลขในไตรมาส 3/65 พบว่าความต้องการน้ำมันโลกอยู่ที่ 99.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน น้อยกว่าปริมาณการผลิตที่ 100.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภาพดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันอาจไม่ปรับสูงขึ้นมากหรือไม่ตกลงนักในปี 2566 เนื่องจากความต้องการน้ำมันในซีกโลกตะวันตกที่กำลังลดลงจะถูกทดแทนความต้องการจากจีนที่เพิ่มขึ้น

ส่วน สัปดาห์หน้าต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ว่าจะชะลอจาก 7.7% หรือไม่ (ตลาดคาด 7.6%) และการประชุม FOMC โดยต้องติดตามว่า (1) จะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps หรือไม่ (2) Dot plot ในปีหน้า ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 4.6% หรือไม่ และ (3) ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อว่าจะปรับขึ้นกว่าที่เคยคาดหรือไม่ (เดิมคาด GDP และ Core PCE ปีหน้าที่ 1.2% และ 3.1%) รวมถึงติดตามยอดค้าปลีกว่าจะชะลอตัวจาก +1.3% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งในเดือนที่แล้วหรือไม่

สำหรับตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า ช่วงสั้นตลาดจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบหลังจากที่ยังขาดปัจจัยชี้นำใหม่ ๆ โดยมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม คือ การประชุมนโยบายการเงินของ FED, BoE, ECB รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ เงินเฟ้อ, ยอดขายบ้านใหม่ เป็นต้น ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม คือ การประชุมของ ครม. ในวันที่ 20 ธ.ค. นี้เพื่อพิจารณาอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5, ช้อปดีมีคืน เป็นต้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้นจึงแนะนำเป็น Selective Buy โดยเน้นรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากการทำ Window Dressing (ราคาหุ้นปรับลงจากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน และมีสถิติผลตอบแทนดีในช่วงปลายปี) เลือก CPF, ADVANC

หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากการเปิดตัวของ Tesla ในไทย เลือก AMATA, WHA, TISCO

หุ้นที่คาดโมเมนตัมกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และจากไตรมาสก่อน อีกทั้ง Valuation ยังน่าสนใจ เลือก BBL, GULF, AOT, CPALL, AU

ขณะที่ช่วงสั้นยังคงแนะนำให้ เพิ่มความระมัดระวัง หรือ หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน สำหรับหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ คือ หุ้นที่คาดถูกนำออก SET50 ซึ่งจะประกาศ 16 ธ.ค. 65 และมีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 66 อาทิ BLA, IRPC, KCE, SAWAD (SET100 ที่คาดถูกนำออก MAJOR, STEC, SUPER, SYNEX, TASCO, TTA)

Back to top button