หนี้เน่าท่วม!

ก่อนหน้านี้หลายคนคิดว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีโอกาสที่จะวิ่งทะลุแนวต้าน 1,700 จุดได้สบาย ๆ


ก่อนหน้านี้หลายคนคิดว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีโอกาสที่จะวิ่งทะลุแนวต้าน 1,700 จุดได้สบาย ๆ แต่เอาเข้าจริงกลับเจอโรคแทรกซ้อนที่ไม่คาดคิดเสียก่อน จึงทำให้ทุกอย่างต้องกลับมาตั้งต้นใหม่กันอีกครั้ง เพราะประเด็นหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นหลังจากแบงก์ประกาศงบปี 65 แบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้รู้ทันทีว่า ไตรมาส 4 ปี 65 หนี้เสียปูดขึ้นเยอะ จนแบงก์ต้องตั้งสำรองเพิ่ม และทำให้กำไรหดตัวอย่างรุนแรงไงล่ะคะ

ประเด็นนี้แหละที่ทำให้มีแรงขายถล่มใส่หุ้น “แบงก์-ไฟแนนซ์” ออกมาอย่างหนักตั้งแต่เช้าวันศุกร์ และขายต่อเนื่องไปถึงตอนปิดตลาด ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้ดัชนีลงมายืนปิดที่ 1,677.25 จุด ลบไป 11.23 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.63 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” ถึงเริ่มเอะใจอีกครั้งว่า การเดินหน้าของตลาดหุ้นไทยอาจไม่ง่ายเหมือนที่คิดจริง ๆ เพราะยังมีปัญหาบางอย่างตามหลอกหลอนไม่เลิกสักทีน่ะซี

วันนี้จึงต้องกลับมาสู่ความจริงที่ว่า ปัญหาหนี้เสียในไตรมาส 1 จะตามหลอกหลอนอีกไหม? เพราะเมื่อดูจากการตั้งสำรองสูงถึงระดับ 2.30 หมื่นล้านของแบงก์สีเขียว KBANK มันสะท้อนถึงขยะใต้พรมที่กำลังถูกปัดกวาด ผนวกกับแบงก์เขียวหากินกับตลาดรีเทล จึงรู้ทันทีว่า นี่เป็นสภาวะที่น่ากลัวสำหรับคนทำธุรกิจ เพราะมันหมายความว่า กำลังซื้อในประเทศน่าจะหดหายอย่างมีนัยสำคัญนะจ๊ะ

สถานการณ์ข้างต้นจึงเป็นงานหินสำหรับการกลับมาโตของแบงก์สีเขียว เพราะเมื่อมองจากความเป็นจริงจะเห็นว่า พอหลายคนเห็นการตั้งสำรองมหาศาล ก็เกิดอาการห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที และทำให้ทฤษฎีต้มกบกลายเป็นที่เม้าท์ถึงอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาทุกคนเริงร่าแบบสุดสวิงริงโก้อีโต้บานกันทั้งนั้น แต่จู่ ๆ ดันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาเสียก่อน เดี๊ยนเลยมีอาการหูตาเหลือกเจ้าค่ะ

ประกอบกับคำอธิบายที่ออกมาในทำนองที่ว่า แบงก์เขียวตั้งสำรองไว้เยอะ ๆ เพื่อทำให้การปล่อยสินเชื่อปีนี้คล่องตัว ก็เป็นเหตุผลที่พอรับฟังได้ แต่ต้องขึ้นกับเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจสะพัดขนาดไหน?..หากไม่เป็นเหมือนดังที่คาดหวัง ก็คงเห็นหนี้เสียปูดขึ้นมาอีก และด้วยเหตุนี้ถึงทำให้นักเล่นขายหุ้นทิ้งเพื่อความปลอดภัย หุ้นถึงทิ้งตัวลงมาปิดที่ 144.50 บาท ลบไป 9 บาท หรือลงไป 5.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.17 หมื่นล้านบาทพะย่ะค่ะ

ส่วนในรายของแบงก์ดอกบัว BBL ก็มีประเด็นให้เม้าท์ถึงเหมือนกันว่า หากไม่มีกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ 1.40 พันล้านเข้ามาช่วย กำไรบรรทัดสุดท้ายก็คงดูไม่ได้อีกเช่นกัน แต่เผอิญนักเล่นก็เห็นเหมือนกัน จึงไม่มั่นใจว่า กำไรไตรมาส 1 ปี 66 จะออกมาดี และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักลงทุนรินหุ้นออกมาตลอดทั้งวัน จนสุดท้ายลงมายืนปิดที่ระดับ 151.50 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.64 พันล้านบาทนะจะบอกให้

ในเมื่อตลาดตื่นตระหนกกับเรื่องหนี้เสีย MTC ย่อมเป็นหุ้นลีสซิ่งตัวแรก ๆ ที่ทุกคนต้องเหลือบมอง เพราะที่ผ่านมาอยู่ในกลุ่มหนี้เสียเพิ่มขึ้นตามพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่หุ้นตัวนี้โดนถล่มอย่างหนัก เพราะสตอรี่ของแบงก์มันทำให้ผู้คนหวาดหวั่นว่า หุ้นการเงินตัวอื่น ๆ คงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน และเป็นที่มาของการขายหุ้นอุตลุด จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 39.25 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 4.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.20 พันล้านบาทจ้า!

ส่วนรายที่ทำท่าจะดีขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ก็โดนผลกระทบดังกล่าวเต็ม ๆ อย่างหุ้น TIDLOR ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการหนี้เน่า “โมนิก้า” จึงเข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นทิ้งตัวลงมาปิดที่ระดับ 29 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 4.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 906 ล้านบาท เพราะเวลานี้เป็นช่วงฝุ่นตลบสำหรับนักลงทุน เลยต้องใช้วิธีขายไปก่อน เพื่อเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่บีบคั้นพะย่ะค่ะ

ปิดท้ายกันที่หุ้น SAWAD กันดีกว่า เพราะรายนี้ม้วนหัวลงอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ไต่เพดานบินอย่างช้า ๆ เป็นเวลาสามเดือนครึ่ง แต่ทันทีที่มีประเด็นหนี้เสียเล่นงานแบงก์ปุ๊บ แรงขายก็ไหลมาเทมาปั๊บ จนสุดท้ายหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 52.75 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 5.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.44 พันล้านบาท ก็เป็นเกมที่ทำให้นักเล่นขวัญผวาไปตามกัน เพราะเวลานี้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร (ขนาดแบงก์เขียวที่ว่า “ดี ๆ แจ๋ว” ยังทำตลาดหุ้นช็อกเลยแม๊)

Back to top button