จับตางบบจ.ปี’ 65 จุดเปลี่ยนเงินลงทุนฝรั่ง.!?

ความคาดหวังของนักลงทุนที่จะเห็น SET INDEX ทะลุผ่านแนวต้าน 1,700 จุดที่เกิดขึ้นช่วงสัปดาห์แรก หลังปีใหม่มา มีความฮึกเหิม และมีความมีมั่นใจที่เต็มเปี่ยมมาก


ความคาดหวังของนักลงทุนที่จะเห็น SET INDEX ทะลุผ่านแนวต้าน 1,700 จุดที่เกิดขึ้นช่วงสัปดาห์แรก หลังปีใหม่มา มีความฮึกเหิม และมีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมมาก รวมถึงนักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศ ก็ออกมาเชียร์และให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ที่ระดับ 1,800 จุด

โดยคาดหวังว่า ช่วงเดือนแรกของปีนี้ คือ มกราคม น่าจะผ่านด่านแนวต้านที่ 1,700 จุด ได้อย่างสบาย แต่กลับกลายเป็นว่า เรื่องที่คิดว่าง่ายดายนั้น เริ่มจะยากเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว

SET INDEX ทำจุดต่ำสุดของรอบนี้ อยู่ที่ 1,597 จุด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ก่อนที่จะแรลลี่ขึ้นมา จนทำจุดสูงสุดของรอบนี้ ที่ระดับ 1,695 จุด เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ดัชนีพุ่งขึ้นมารวดเดียวเกือบ 100 จุด หรือคิดเป็น 6.13%

ในขณะที่การแกว่งตัวของดัชนีในเดือน มกราคม 2566 ที่พุ่งขึ้นไปที่ระดับ 1,695 จุด และลงมาต่ำสุดที่ระดับ 1,667 จุด (26 ม.ค.) แกว่งตัว 28 จุดหรือคิดเป็น 1.65%

โดยตลอดทั้งเดือน มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 18,342 ล้านบาท, นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 24,270 ล้านบาท

เหตุผลที่ต้องชูตัวเลข ของนักลงทุน สองกลุ่มนี้เพราะเป็นกลุ่มที่จะกำหนดทิศทางตลาดหุ้นว่าจะเดินไปในทางใด และถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญในการประเมินว่า …ทำไมตลาดหุ้นถึงย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนไกลเลย?

การที่ดัชนีย่ำอยู่กับที่ในลักษณะ sideway มีความเป็นไปได้ 2 ทาง คือ 1.เป็นการสะสมของก่อนที่จะพุ่งทะลุ 1,700 จุด 2.เป็นการประคองดัชนีไว้ เพื่อรินขายของ

ลำพังแรงผลักดันของเม็ดเงินต่างชาติ เพียงรายเดียว ก็สามารถที่จะดันดัชนีให้ทะลุด่านสำคัญขึ้นไปได้ เพราะที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติ เป็นกลุ่มที่ดันดัชนีขึ้นมาเกือบ 100 จุด

สำหรับหนึ่งในเหตุผลหลัก ที่อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจ ที่จะให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หรือจะหยุดเพียงแค่นี้ นั่นก็คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งที่ผ่านมาที่ออกมาแล้ว มีเซอร์ไพรส์ในเชิงลบหลายตัว อาทิ

หุ้น KBANK ที่มีการตั้งสำรองที่สูง 2.2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/65 และมีกำไรสุทธิที่ลดลง 69% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

หุ้น SCB มีกำไรสุทธิไตรมาส 4/65 ลดลง 30% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

หุ้น SCGP กำไรสุทธิปี 65 ลดลง 30% โดยไตรมาส 4/65 มีกำไรสุทธิเพียงแค่ 449 ล้านบาท ลดลง 76% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

ในขณะที่หุ้น SCC กำไรสุทธิปี 65 ลดลง 55% ไตรมาส 4/65 มีกำไรสุทธิ เพียงแค่ 157 ล้านบาท ลดลง 94% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า

เหล่านี้คือ ผลประกอบการของหุ้น proxy ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรม โดยไตรมาส 4 เป็นช่วงปลายและเป็นช่วงที่ภายในประเทศเริ่มปลดล็อกจากปัญหาโควิดแล้ว แต่กลับกลายเป็นมีผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่าช่วงเวลาที่อยู่ในโควิดเสียอีก

ทำให้หุ้นเหล่านี้ มีแนวโน้มที่ถูกดาวน์เกรดจากผลประกอบการที่ออกมา

นี่คือแค่ตัวอย่างของผลประกอบการที่ปรับตัวลดลงของหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ และยังมีหุ้นอีกหลาย ๆ ตัวที่กำลังรอประกาศในช่วงสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มที่หุ้นใหญ่อีกหลายตัว จะมีเซอร์ไพรส์ ออกมาแบบหุ้น 4 ตัวที่กล่าวมา

ถ้าหาก งบปี 2565 มีปัญหาแบบนี้ คงต้องรอดูท่าทีของต่างชาติว่า จะมองข้ามผลประกอบการที่ออกมา และขนเงินเข้ามาซื้อหุ้นไทยเพิ่ม หรือจะหยุดและทยอยรินขายหุ้นออกมา ซึ่งยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร?

ขอเพิ่มเติมข้อมูล ต้นทุนพอร์ตหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็บหุ้นไทย 2 แสนล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมา

ย้อนหลังกลับไป 1 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 64-30 ธ.ค. 65  นักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้ามาซื้อหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท

หากต้องการทราบต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ขนเงินเข้ามา ซื้อหุ้นไทย  เทียบค่าเฉลี่ยดัชนีย้อนหลัง จากเส้นกราฟ 200 วัน จะพบว่า ดัชนีอยู่ที่ประมาณ  1,625 จุด หากเทียบกับปัจจุบัน ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณเพียงแค่ 60 จุดเท่านั้น

ในขณะที่ค่าเงินบาท ย้อนหลัง 1 ปี บนเส้น 200 วัน จะอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันแข็งค่ามาที่ 32 บาท

เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามา 2 แสนล้านบาท แต่ดัชนีขยับได้แค่ 60 จุด ถือว่าหนักหน่วงพอสมควร โดยเฉพาะในจังหวะที่กองทุนในประเทศ เทขายใส่แบบไม่ยั้ง

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปแบบนี้ หากวันหนึ่งต่างชาติบางราย ที่ต้องการเงินสด ในตลาดที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนที่ไม่มากอย่างนี้ อาจจะมีปัญหาได้

สรุปความ คือ ต้นทุนดัชนีของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ไม่ได้มีส่วนต่างที่ห่างจากปัจจุบันเลย  แม้จะได้เปรียบในเรื่องของค่าเงินบาทที่ขนเงินเข้ามาซื้อหุ้นไทย เฉลี่ยยังอ่อนกว่าค่าเงินในปัจจุบัน แต่ถ้าจะต้องขนเงินออก ก็เชื่อว่า เงินบาทจะกลับไปอ่อนทันที

ทั้งนี้ สิ่งที่เราจะเห็นจากนี้ไป ถ้าหากกองทุนยังไม่เลิกขายหุ้น และยังขนมาขายอีกเรื่อย ๆ ให้กับต่างชาติ บรรยากาศก็จะ sideway แบบนี้ไปเรื่อย ๆ

จนถึงจุด ๆ หนึ่ง เราจะเห็นต่างชาติขายใส่กันเอง ระหว่าง ต่างชาติที่ถือหุ้นไทยมาก่อนหน้านี้ กับ ต่างชาติที่กำลังจะขนเงินเข้ามาหาผลตอบจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

งานนี้คงได้เห็นฝรั่งซัดกันเอง โดยมีรายย่อยยืนดู แต่เลือดไหล แม้จะไม่ได้เข้าไปร่วมอยู่ในสงครามครั้งนี้เลย

Back to top button