หุ้นโลกลดกังวล..เพดานหนี้สหรัฐคลี่คลาย

แรงกดดัน “ตลาดหุ้นทั่วโลก” ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือ “การขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ” ที่มีกำหนดเส้นตาย 31 พ.ค.นี้


แรงกดดัน “ตลาดหุ้นทั่วโลก” ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา  นั่นคือ “การขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ” ที่มีกำหนดเส้นตาย 31 พ.ค.นี้  และนั่นทำให้ล่าสุด Fitch Rating เบื้องต้นมีการลด Outlook Credit rating ประเทศสหรัฐฯ เป็น Negative จากเดิม Stable แต่หากว่าสหรัฐฯ สามารถแก้ไขและขยายเพดานหนี้ได้ทันตามกำหนด พร้อมคง Credit rating ไว้ที่ระดับ AAA ต่อไป

ล่าสุดมีรายงานว่า “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ “เควิน แมคคาร์ธี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีการบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ (27 พ.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ นับเป็นการยุติการเจรจาที่หาทางออกไม่ได้ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา

โดยฝ่ายทำเนียบขาวและคณะผู้เจรจา ที่เป็นสมาชิกสภาจากพรรครีพับลิกัน ได้บรรลุข้อตกลงหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำยืนยันชัดเจนออกอย่างเป็นทางการว่า ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว อาจมีปัญหา 1-2 เรื่อง ที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องจัดการให้เรียบร้อย แต่ถือว่าคืบหน้ามากเพียงพอที่เดินหน้าต่อไป

สำหรับร่างข้อตกลงดังกล่าว จะป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ ที่จะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยร่างนี้จะต้องส่งผ่านไปยังสภาคองเกรส เพื่อให้อนุมัติต่อไป ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะไม่เหลือเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ทั้งหมด โดยนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เตือนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น หากไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนวันที่ 5 มิ.ย. 2023

“พรรครีพับลิกัน” ในฐานะผู้มีเสียงข้างมากในสภาฯ ผลักดันให้ลดการใช้จ่ายและเงื่อนไขอื่น ๆ รวมถึงข้อกำหนดใหม่สำหรับโครงการสวัสดิการบางอย่างสำหรับช่วยเหลือชาวอเมริกัน ที่มีรายได้น้อยและการถอนเงินทุนออกจากกรมสรรพากรแห่งสหรัฐฯ (IRS) และต้องการชะลอการเติบโตของหนี้สหรัฐฯ ที่ขณะนี้เท่ากับผลผลิตต่อปีของเศรษฐกิจประเทศ

อย่างไรก็ดียังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัดของข้อตกลงขั้นสุดท้ายได้ แต่ผู้เจรจาได้ตกลงว่าจะจำกัดการใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องด้านการกลาโหมตามดุลยพินิจ ให้อยู่ระดับเดียวกับการใช้จ่ายปี 2023  เป็นเวลา 2 ปี เพื่อแลกกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้

จากข้อมูลของ MUFG พบว่า มูลค่าหนี้รวมรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 24.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ที่ 9.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สัดส่วนเจ้าหนี้ที่เป็นต่างประเทศนั้นเพิ่มเป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นหลักเป็นสถานะที่เกิดจากเจ้าหนี้ภายในสหรัฐฯ เองกว่า 71%

อย่างไรก็ดีหากว่า..รัฐบาลสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ช่วงเดือน มิ.ย.นี้ เนื่องจากการเจรจาแก้ปัญหาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) ไม่สามารถทำได้ทันเวลากำหนด “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” เองจะรับผลกระทบมากสุด ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ถือตราสารหนี้หรืออยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจำกัด

หาก “การขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ” คลี่คลายได้ตามกำหนด..ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับขึ้นตอบรับกับเรื่องดังกล่าว..แต่ทว่า “หุ้นไทย” ยังมีปัจจัยการเมือง ที่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุนเป็นอีกแรมเดือนเลยทีเดียว..!!

Back to top button