IAA มองรัฐบาล ‘เศรษฐา’

วานนี้ (28 ส.ค.) “สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เขาได้เผยแพร่บทความ "ได้รัฐบาลใหม่: มีผลกับมูลค่าหุ้น หรือว่าแค่ Sentiment"


วานนี้ (28 ส.ค.) “สมบัติ นราวุฒิชัย” เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เขาได้เผยแพร่บทความ

“ได้รัฐบาลใหม่ : มีผลกับมูลค่าหุ้น หรือว่าแค่ Sentiment”

หลังจากได้อ่านแล้ว จึงขอนำมาสรุปได้ประมาณนี้

1.ความมั่นคงของรัฐบาลใหม่ มีสูงกว่ารัฐบาลเดิม เท่ากับตัวแปรด้าน Risk ลดลง จึงส่งผลทางบวกต่อมูลค่าหุ้น

นั่นคือ รัฐบาลชุดใหม่มีเสียงถึง 314 เสียง ถือว่าแข็งแรงมาก

1.1 “ทีมพรรคเพื่อไทย” ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะ “ต่างชาติ” จากประวัติผลงานการบริหารเศรษฐกิจสมัยที่เคยเป็นรัฐบาล รัฐบาลใหม่มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมากในสายตาของต่างชาติ

อีกทั้งการเลือก เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี

ถือเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จในการนำพาองค์กรขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศมาแล้ว

มีการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ

พรรคเพื่อไทยจึงน่าจะผลักดันนโยบายหลักทางเศรษฐกิจไปได้ด้วยดี

1.2 ทุกพรรคนอกจากพรรคก้าวไกล ไม่อยากเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ซึ่งนอกจากจะต้องใช้เงินทุนเยอะ ยังน่าจะถูกพรรคก้าวไกลกวาดเก็บยึดส่วนแบ่งที่นั่ง สส.อีกด้วย

ดังนั้น การต่อรองและบีบคั้นของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีต่อพรรคเพื่อไทย “คงไม่รุนแรงเกินรับได้”

ประเด็นนี้จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะใช้กระบวนท่ายุบสภาในช่วงอย่างน้อย 2-3 ปีแรก

จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่นี้น่าจะอยู่ได้นานกว่าที่คอการเมืองวิจารณ์

และในเบื้องต้นใช้สมมติฐานที่ 3-4 ปี นานพอที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยขึ้นไปได้ 

สรุป ตัวแปรตามเนื้อหาข้างบนนี้ เบื้องต้นใช้สมมติฐานว่ามีผลบวกกับมูลค่าหุ้น 5%

2.ความคาดหมายด้านการเติบโต ปี 66 ต้องปรับลด แต่จะเพิ่มปี 67-69

2.1 ความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลง จึงส่งผลให้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 66 ต้องลดลง ในเบื้องต้นคาดการณ์ลดลงประมาณ 2%

2.2 เมื่อรัฐบาลใหม่เข้าทำหน้าที่จัดทำงบประมาณเสร็จ และเร่งทำตามนโยบายเศรษฐกิจหลัก

ผลบวกชัดเจนจะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 67

และมั่นใจว่าบรรดานักวิเคราะห์และผู้ลงทุนจะเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ

ส่งผลให้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 67-69 สูงกว่าสมมติฐานยุครัฐบาลเดิม อีกปีละ 2% รวม 3 ปี เท่ากับ 6%

3.นโยบายสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะเร่งมือ ส่งผลบวกต่อหลายธุรกิจ

3.1 ส่งเสริมภาคท่องเที่ยว โดยงานวันแรกที่ “เศรษฐา” ทำทันที คือ บินไปหารือภาคท่องเที่ยวที่จังหวัดสำคัญ ๆ

เมื่อเข้าบริหารจริง รัฐบาลจะเน้นหนักทันทีในการโปรโมตเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ผลบวกของนโยบายนี้ จะกระจายความดีไปทั้งธุรกิจโรงแรม  อาหาร ค้าปลีก ส่งผลถึงการจ้างงานทำให้มีรายได้เติมกำลังซื้อให้ผู้บริโภค

3.2 การเติมกำลังซื้อด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลทันที 10,000 บาท ในกลางไตรมาส 1 ปี 67

เงินเหล่านี้จะทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยสินค้า ทั้งอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย ของใช้นานาชนิด

จุดที่น่าติดตามดู คือความเชื่อเรื่องการหมุนหลายรอบทางเศรษฐกิจจากการกระตุ้นแรง ๆ ครั้งนี้

3.3 นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี เป็น 25,000 บาท ตั้งเป้าภายในปี 70

ต้องติดตามว่าจะใช้วิธีทยอยขึ้นอย่างไร

การเติมกำลังซื้อให้ประชาชนด้วยการขึ้นค่าจ้างและเงินเดือนนี้ จะหนุนให้เกิดการใช้จ่าย

และแม้ว่าจะมีผู้ประกอบธุรกิจบางส่วนที่มีโครงสร้างต้นทุนจากแรงงานมาก

ทว่าการประกาศล่วงหน้ายาว ๆ  ทำให้ภาคธุรกิจมีเวลาเตรียมการปรับตัว และได้รับการชดเชยบางส่วนจากการที่เศรษฐกิจโดยรวมได้รับการกระตุ้นให้ฟื้นตัวขึ้นติดต่อกันตั้งแต่ปี 67-70

3.4 การลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า ช่วยให้ประชาชนเหลือเงินไปจับจ่ายใช้สอยสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ได้มากขึ้น

และยังช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจลดต้นทุนได้อีกด้วย 

4.มีความกังวลเรื่องเก็บภาษีการขายหุ้น ยังมีลุ้นว่ารัฐบาลใหม่อาจไม่ประกาศเก็บ

สรุปผลประเมิน เมื่อรวมผลบวกและลบทั้งหมด

มูลค่าของหุ้นโดยรวมซึ่งจะสะท้อนออกไปที่ SET Index ควรจะมีมูลค่าสูงขึ้น 6.5% เทียบกับวันฐานที่ยังไม่มั่นใจว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีกันแน่ (ช่วงระดับ 1,520 จุด)  มูลค่าหุ้นจะไปที่ 1,619 จุด

ส่วนหมวดธุรกิจที่น่าจะขานรับทางบวก

โดยแนวทางของรัฐบาลชุดนี้ ผลบวกกระจายไปหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ จนถึงขนาดเล็ก ทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม สนามบิน ค้าปลีกและศูนย์การค้า ผู้ผลิตของใช้หลากหลายที่มีโอกาสรองรับการเติมกำลังซื้อประชาชน

กลุ่มธนาคาร Finance ธุรกิจสื่อ และธุรกิจสื่อสารก็น่าจะเก็บเกี่ยวผลบวกไปด้วยกัน

Back to top button