หมีในเสื้อคลุมกระทิง?พลวัต 2015

เมื่อวานนี้ ปิดตลาดหุ้นไทย ด้วยดัชนีลบ 20.48 จุด ที่ระดับ 1,264.44 จุด เป็นราคาปิดต่ำสุดเป็นสถิติของปี แต่ไม่ใช่จุดต่ำสุดของวัน เพราะจุดต่ำสุดของวันคือ 1,262.28 จุด


เมื่อวานนี้ ปิดตลาดหุ้นไทย ด้วยดัชนีลบ 20.48 จุด ที่ระดับ 1,264.44 จุด เป็นราคาปิดต่ำสุดเป็นสถิติของปี แต่ไม่ใช่จุดต่ำสุดของวัน เพราะจุดต่ำสุดของวันคือ  1,262.28 จุด

มูลค่าซื้อขาย 6.14 หมื่นล้านบาท ก็ถือเป็นสถิติน่าสนใจเพราะมากที่สุดในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว แต่ถ้าลงลึกในรายละเอียด จะพบว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าซื้อขาย กระจุกตัวอยู่ที่หุ้นสื่อสาร 4 รายการเป็นหลักที่เข้าประมูลคลื่น 4G โดยแรงขายหนักกว่าแรงซื้อ

ราคาหุ้นของบริษัทที่ชนะหรือแพ้ในการประมูล ล้วนถูกขายทิ้งทั้งหมด ซึ่งอธิบายเหตุผลได้ยากเต็มที ภาวะเช่นนี้ เรียกว่า ขายแบบกระต่ายตื่นตูม หรือ panic selling ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณฝูงแกะตามปกติ

จุดต่ำสุดของราคาปิดดัชนีเมื่อวานนี้ โดยมีแรงขายหนักจากต่างชาติ และกองทุนLTF (ที่นักวิเคราะห์หลายคนบอกเป็นความหวังจะเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหากราค่าต่ำเกินสมควร) ทำให้เกิดคำถามว่า ก้นเหวของรอบขาลงตลาดหุ้นไทยรอบนี้ อยู่ไหนกันแน่ เพราะคำปลอบใจอันคุ้นหูของนักวิเคราะห์ที่ว่า “การปรับลงแรงของราคา อาจจะดึงดูดให้สถาบันกลับเข้าซื้ออีกครั้ง” ใช้การไม่ได้อีกแล้ว

ในด้านสัญญาณเทคนิค การย่อตัวลงของดัชนี SETในรอบนี้ไม่ควรต่ำกว่า 1,260 จุด เพราะคาดกันว่า จะมีแรงซื้อกองทุน LTF/RMF เข้ามาหนุนในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ดังนั้น ในระยะสั้น ดัชนีที่ 1,260 จุด จึงมีความหมายว่า ยามนี้ถึงเวลาในการใช้”ช้อนทองคำ” หรือยัง   

ดังที่รู้กัน ช้อนทองคำ เป็นเงื่อนไขสำคัญของนักลงทุนในยามตลาดขาลง เป็นภาวะที่ราคาหุ้นหรือดัชนีของตลาด พลิกกลับจากจังหวะขาลงมาเป็นขาขึ้นทันที บางครั้งนักวิเคราะห์ก็เรียกว่า แนวรับรูปแบบสามเหลี่ยมใหญ่ที่เป็นจุดซื้อหุ้นกลับอีกครั้ง

ช้อนทองคำในระยะสั้น เรียกกันว่า เทคนิคัล รีบาวด์ หมายถึงการเปลี่ยนทิศทางกะทันหันของราคาหรือดัชนีตลาดหุ้น เป็นขาขึ้นชั่วคราวจากการเก็งกำไร ไม่ใช่พื้นฐานของตลาดหรือหุ้น

ขาขึ้นชั่วคราวนี้แหละที่ทำให้นักลงทุนน้ำตาตกมานักต่อนัก เพราะการเข้าซื้อเมื่อคิดว่าถูก แต่ยังมีถูกกว่าเกิดขึ้นซ้ำอีก จากการ”สับขาหลอก”ที่เป็นการรีบาวด์ขาลง ที่เรียกว่า แมวตายเด้ง (dead-cat bounce)

ช้อนทองคำระยะกลาง (หรือยาว) หมายถึงภาวะกระทิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาของขาขึ้นที่ยาวนาน จากการที่พื้นฐานของตลาดเกิดการเปลี่ยนจากลบเป็นด้านบวกจริงจัง (ส่วนใหญ่จะมีอย่างน้อย 4 ระลอกเป็นขั้นบันได) แต่ภาวะช้อนทองคำหลังสุดนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ นักลงทุนส่วนใหญ่ของตลาดมีความเชื่อมั่นต่อตลาด และต่ออนาคตของหุ้นรายตัว

ช้อนทองคำไม่ว่าระยะไหน จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากอารมณ์ร่วมที่เรียกกันว่า ท่าทีกระทิง (bullish position) หมายถึงความต้องการที่จะเข้าซื้อหลักทรัพย์หรือหุ้นในตลาดเพื่อถือเอาไว้ทำกำไรในอนาคต

โจทย์สำคัญที่นักลงทุนต้องค้นหาให้คือ ช่วงจังหวะของ “ช้อนทองคำ” นั้น ควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด ที่ไม่ใช่การเสียค่าโง่ให้ถูกหลอกซ้ำซาก จากสภาพ ”หมีสวมเสื้อคลุมกระทิง”

การอ่านสัญญาณเทคนิคระยะสั้น จึงมีความสำคัญ เพราะเพื่อบอกหรือส่งสัญญาณว่า เมื่อใดก็ตาม ที่เกิดหุ้นร่วงหนักเข้าเขตขายมากเกิน จะเกิดแรงซื้อกลับเข้ามาเก็งกำไรชั่วคราว จนกระทั่งเข้าเขตซื้อมากเกินระลอกใหม่ ถือว่าหมดรอบสั้นๆ แล้วก็ลงต่อเพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน หรือ พื้นฐานของตลาดไม่สดใส และมีอนาคตที่ขุ่นมัว

สำหรับนักลงทุนที่เป็นมากกว่าแค่เก็งกำไรระยะสั้น  การยึดถือข้อมูลพื้นฐานว่า บริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการย่ำแย่ ถดถอยลง ราคาหุ้นในระยะกลางและระยะยาว ย่อมสะท้อนพื้นฐานของบริษัทโดยธรรมชาติ ตามหลัก let profit run ว่าเมื่อใดที่ค่าพี/อีในอนาคตเพิ่มขึ้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะร่วงย่อมเกิดขึ้นง่าย เพราะอุปสงค์และอุปทานของตลาด ไม่สามารถจะฝืนข้อเท็จจริงได้  ไม่มีโอกาสใช้ช้อนทองคำได้เลย

สำหรับกรณีดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่ร่วงลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า  หลังจากความพยายามรีบาวด์ตลอดปีนี้ จนกระทั่งนักวิเคราะห์ถึงขนาดกล้าฟันธงไว้อย่างมั่นใจว่า ดัชนีได้เลยจุดต่ำสุดมาแล้ว หรือ  breaking out ยังไม่เคยยั่งยืนและสร้าง ท่าทีกระทิงขึ้นได้เลย  

ยามนี้ กระแสฟันด์โฟลว์ไหลออกหลังจากค่าดอลลาร์แข็ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดที่จะเห็นต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง แต่การขายแบบเทกระจาดของหุ้นสื่อสารมากกว่า 3 หมื่นล้านบาทเมื่อวานนี้ เป็นคำอธิบายที่ยากลำบากและไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

เบื้องต้น การประเมินที่สามารถระบุได้ว่า การร่วงแรงเมื่อวานนี้ของตลาดหุ้นไทย เป็นกระบวนการสมคบคิดทุบหุ้นของบรรดานักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนรวม  ที่ชัดเจนอีกครั้ง น่าจะเป็นการ”ทุบเอาของ”มากกว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ยั่งยืน

ยิ่งบทวิเคราะห์หุ้นที่ได้ชัยชนะในการประมูลที่แต่ละสำนักออกมา แตกต่างกันมากชนิดหามาตรฐานอ้างอิงได้น้อยมาก ยิ่งเป็นเรื่องสะท้อนให้เห็นทั้งระดับของ “คุณภาพ” และ EQ ของนักวิเคราะห์ ง่ายดายยิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เป็นไปได้อย่างไร ที่นักวิเคราะห์สำนักหนึ่งประเมินว่า ราคาหุ้นที่เหมาะสมของ JAS ควรจะอยู่ที่ 0.18 บาท เท่านั้น แต่นักวิเคราะห์อีกสำนักหนึ่งบอกว่า ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 10.00 บาท แสดงว่า “กระบวนวิธี” (Methodology) ทางความรู้ของนักวิเคราะห์แต่ละคนนี้  มีความผิดปกติที่ชวนตั้งคำถามอย่างยิ่ง

ยิ่งหากพิจารณาพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยใน 2 เดือนที่ผ่านมา และในระยะข้างหน้า เราได้เห็นว่า เสถียรภาพของตลาดเริ่มกลับมาอย่างชัดเจน เพราะมีข่าวดีแทรกปนเข้ามาในข่าวร้าย ต่างจากครึ่งแรกของปีอย่างมากที่เต็มไปด้วยความมืดมน ชวนให้สงสัยในอนาคต

ปรากฏการณ์แมวตายเด้ง และ หมีในเสื้อคลุมกระทิง เมื่อวานนี้ จะตัดสินกันแนวรับของดัชนีที่ 1,260 จุดในเช้าวันนี้

ไม่เชื่อก็คอยดู

Back to top button