พาราสาวะถี

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีนี้แล้ว ประชาชีทั้งหลายน่าจะตามเรื่องเครียด ๆ อยู่ห่าง ๆ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เตรียมตัวที่จะใช้เวลาไปกับการพักผ่อนให้เต็มที่


เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีนี้แล้ว ประชาชีทั้งหลายน่าจะตามเรื่องเครียด อยู่ห่าง ๆ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เตรียมตัวที่จะใช้เวลาไปกับการพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะมีวันหยุดยาว และเทศกาลแห่งความสุขรออยู่ ดังนั้น จึงใจจดใจจ่อรอที่จะเฉลิมฉลองกันเป็นด้านหลัก ที่จะพักไม่ได้คงเป็น เศรษฐา ทวีสิน ยังคงต้องปฏิบัติภารกิจขึ้นเหนือล่องใต้ อีสาน เดินสายภาคกลาง รวมทั้งเหินฟ้าไปต่างประเทศ โดยการทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในบางเรื่องที่ต้องการภายในระยะเวลา 3 เดือน

การลงพื้นที่หากตอบแบบเอาใจประชาชนทุกฝ่าย เศรษฐาก็จะบอกว่าแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน โดยได้รับเสียงสนับสนุน กำลังใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม แต่ที่อบอุ่นสุด ๆ คงจะเป็นการเดินทางไปร่วมงานประเพณียี่เป็งลอยกระทงของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการไปพบปะประชาชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นที่อำเภอสันกำแพง อันเป็นบ้านเกิดของ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สองอดีตนายกรัฐมนตรี ที่นี่เสียงสวรรค์คือ ทุกคนอยากได้เงินดิจิทัลคนละหมื่นบาท และหนุนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างเต็มที่

แน่นอนว่า การเมืองเรื่องเสียงจัดตั้งนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ประเภทที่มาด้วยใจ เชียร์เพราะรักก็มีจำนวนไม่น้อย แม้จะไม่ได้ควง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยไปกางจ้อง (ร่ม) ด้วยกัน แต่ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกฯ คนที่ 23 ก็ได้ไปลงพื้นที่บ้านเกิดของบิดาก่อนหน้านั้นแล้ว เป้าหมายทางการเมืองชัดเจนว่าจะต้องช่วงชิงเก้าอี้ สส.กลับมาให้ได้ทั้งหมด หลังจากถูกก้าวไกลปาดหน้าคว้าชัยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้งที่เชียงใหม่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเพื่อไทยเลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องการทำคะแนนทางการเมืองไม่ถือว่าเป็นประเด็นหลักที่เศรษฐาให้ความสำคัญ ขอก้มหน้าก้มตาทำงาน ไปทุกที่ ทุกจังหวัดเพื่อรับฟังปัญหา และนำมาซึ่งการแก้ไขให้ตรงจุด ฉุดประชาชนให้พ้นปากเหวของความเดือดร้อนให้ได้เสียก่อน เมื่อผลงานปรากทุกอย่างจะตามมาเอง ย้ำคำเดิมเหตุผลที่ทำให้ท่านผู้นำเดินหน้าทำงานเพื่อบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ เพราะงานการเมืองเป็นเรื่องของพรรคต้นสังกัดที่จะไปบริหารจัดการกันเอง มีทัพหน้าอย่างอุ๊งอิ๊งมาถือธงนำแล้วสบายใจ หายห่วง

ช่วงเดือนธันวาคมแม้คนส่วนใหญ่จะตั้งตารอเทศกาลแห่งความสุข และหยุดยาว แต่ภาคการเมืองโดยเฉพาะในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัตินิ่งเฉยไม่ได้ เมื่อสภาเปิดก็ต้องเร่งผลักดันข้อกฎหมายที่สำคัญเข้าสู่การพิจารณา เป็นกระแสเวลานี้คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับพรรคก้าวไกล ที่ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคเดินสายพบปะทุกฝ่ายเพื่อหวังเสียงสนับสนุน จุดชี้วัดสำคัญอยู่ที่ การยกเว้นความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองช่วงเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ต้องคดีมาตรา 112 จำนวนไม่น้อย

ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ก้าวไกลจะต้องตีให้แตกว่า จะผลักดันกันอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการสะดุด และต้องใช้ผลของการเดินสายที่ชัยธวัชลงทุนคุยกับทุกฝ่ายให้เป็นประโยชน์ ล่าสุด วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช.และอดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ศาลฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลเข้าพบ โดยย้ำว่า สนับสนุนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว และทุกคนก็ได้คำตอบแล้วว่า ทำไมจึงมีการเดินทางไปคุยกับอดีตพุทธะอิสระ มาจากคำแนะนำของวิชานั่นเอง เพราะอยากให้ผู้เสนอกฎหมายได้ฟังความเห็นจากแต่ละกลุ่มการเมืองว่าคิดกันอย่างไร

ทั้งนี้ ในมุมมองของวิชานั้น ได้มีข้อเสนอที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้ผู้ต้องหาในคดี 112 ว่า ไม่ควรพูดถึงเรื่องตัวบทกฎหมาย แต่ควรเน้นเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่จะให้มีการนิรโทษกรรม เหมือนกับที่มีการนิรโทษกรรม

ก่อนหน้านี้ ที่จะพูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ว่ามีความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเวลาใดถึงเวลาใด เพราะหากมีการใส่ไปว่าให้นิรโทษกรรมคนที่ผิดมาตราใดเป็นการเฉพาะ จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง ต้องทะเลาะกันวุ่นวาย

ในฐานะคนที่เคยถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความยุติธรรมมีปัญหา โดยเฉพาะจากองค์กรอิสระ ความเห็นของวิชาที่หนุนร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล จึงอาจเป็นการไถ่บาปหรือไม่ จากคำพูดที่ว่า มันต้องยุติที่เคยขัดแย้งกันมาถึงจะเริ่มต้นกันใหม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่ความขัดแย้งวุ่นวาย มันก็เดินต่อไม่ได้ ก็ติดอยู่แบบนี้ เพราะคนก็ไม่เชื่อในเรื่องของความยุติธรรม เพราะเสร็จแล้วก็จะมีการช่วยเฉพาะคนที่มีอำนาจ มีเงิน มีเกียรติ สันติวิธีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ต้องคิดถึงประโยชน์ข้างหน้าที่จะสร้างบ้านเมืองร่วมกัน เอาหลักการไว้ก่อน

หากย้อนไปก่อนหน้านี้คนในองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยออกมายอมรับว่ามีการตัดสินยุบพรรคการเมืองตามกระแสของม็อบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนการปลุกกระแสความขัดแย้งเพื่อตอบสนองความต้องการล้มล้างอำนาจที่ชนชั้นอีลิทไม่พอใจ จึงใช้สารพัดวิธี จนทำให้บ้านเมืองเข้ารกเข้าพง กระทั่งเกิดรัฐบาลพลิกขั้วที่ประกาศสลายความขัดแย้ง ต้องช่วยกันพาประเทศชาติหลุดพ้นจากกับดักความเกลียดชังให้ได้ จึงเป็นจังหวะของพวกที่เคยสมรู้ร่วมคิดในการที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเดินหน้าได้

แต่ต้องไม่ลืมว่าการพิจารณาข้อกฎหมายต้องใช้กลไกของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งหากไม่มีเงื่อนไขที่ไปข้องแวะกับ ม.112 ก็ไม่น่าจะเกิดเสียงคัดค้านทั้งจาก สส.ซีกรัฐบาล และพวกลากตั้ง ส่วนเพื่อไทยมีคำถามว่าเมื่อต้องการที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เหตุใดจึงไม่นำเสนอร่างกฎหมายประกบกับก้าวไกลเพื่อให้เกิดเป็นทางเลือก หรือหยิบเอาส่วนที่ดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน นั่นเป็นเพราะ อดีตเคยต้องสะดุดจนกู่ไม่กลับมาแล้วกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จึงไม่ขอเอี่ยวดีกว่า จะไม่ได้ถูกครหา ยิ่งมีประเด็นคนที่ชั้น 14 ด้วย ยิ่งต้องคิดกันหลายตลบ

แต่ที่สะท้านสะเทือนวงการยุติธรรมทั้งตำรวจและอัยการเวลานี้ กรณีของ เชาวลิต ทองด้วง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด ผู้ต้องหาหนีจากโรงพยาบาลนครศรีธรรมราช นานกว่า 1 เดือนแล้วยังตามจับกุมตัวไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังมีการเผยแพร่คลิปเรียกร้องความยุติธรรม เปิดปมทำให้ต้องเกิดการรื้อคดีกันอุตลุด ยิ่งสาวไส้กันไปมา ยิ่งทำให้เห็นความโสมมของพวกเหลือบริ้นที่อาศัยอำนาจรัฐในการทำมาหากิน งานนี้อาจมีคนกระเด็นตกเก้าอี้ ปฏิบัติการจากเสี่ยแป้งเข้าทำนองไม่ยอมตายเดี่ยว ส่วนใครจะร่วมชะตากรรมด้วยเดี๋ยวได้รู้กัน

Back to top button