MAJOR-WORK ก้าวสู่ผู้สร้างหนัง.!?

เป็นอีกหนึ่งคู่สร้างคู่สมทางธุรกิจที่น่าจับตา สำหรับ MAJOR กับ WORK ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาพักใหญ่แล้ว..!!


เป็นอีกหนึ่งคู่สร้างคู่สมทางธุรกิจที่น่าจับตา สำหรับบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ของ “เสี่ยวิชา พูลวรลักษณ์” กับบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ของ “เสี่ยตา”–ปัญญา นิรันดร์กุล ที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาพักใหญ่แล้ว..!!

เส้นทางเริ่มจากช่วงต้นปี 2565 ชิมลางด้วยการส่งบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC ในขณะนั้นมีสถานะเป็นบริษัทลูก MAJOR ไปจับมือกับบริษัท ไทยบรอดคาสติ้ง จํากัด (THB) บริษัทลูกของ WORK ตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อ บริษัท สกายบ็อกซ์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (SKYBOX) เพื่อดำเนินธุรกิจบริหารศิลปิน (ปัจจุบัน MPIC หรือชื่อใหม่บริษัท ซาเล็คต้า จํากัด (มหาชน) หรือ ZAA ได้ขายหุ้นที่ถือทั้งหมดให้กับ WORK ไปแล้ว)

MAJOR คงมองว่าไหน ๆ ก็จับมือเป็นพันธมิตรกันแล้ว ช่วงกลางปี 2565 เลยตัดสินใจซื้อหุ้น WORK ให้รู้แล้วรู้รอด โดยเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 11.01% ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของ WORK..!! เพื่อจะได้ต่อยอดอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงด้านการผลิตคอนเทนต์ได้มากขึ้น

ล่าสุดเห็นความชัดเจนขึ้นอีกสเต็ป เมื่อทั้งคู่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อบริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด (KML) เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและลงทุนในภาพยนตร์ โดยมีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้น ถือเท่า ๆ กันคนละ 50%

ว่าไปแล้วทั้ง MAJOR และ WORK ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน…อย่าง MAJOR ในฐานะเป็นปลายน้ำ มีช่องทางในการจัดจำหน่าย นั่นคือ โรงภาพยนตร์ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในประเทศไทยและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 180 สาขา 838 โรงภาพยนตร์ สามารถรองรับผู้ชมได้ 186,221 ที่นั่ง

ไม่นับรวมที่บริษัทมีแผนจะขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มอีกปีละ 30-40 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ทำให้ MAJOR สามารถใช้องคาพยพได้หลากหลาย…

ฟาก WORK ก็เด่นเรื่องโปรดักชั่น มีความพร้อมด้านเครื่องไม้เครื่องมือ..ถ้าพูดถึงงานโปรดักชั่นเฮาส์ WORK ก็คงไม่เป็นสองรองใครหรอก ประกอบกับเป็นสื่อ มีช่องทีวีดิจิทัล (เวิร์คพอยท์ช่อง 23) ของตัวเอง เรียกว่าในมุมการตลาดก็มีความเก่งกาจพอตัวแหละ

ถือเป็นการนำจุดเด่นของทั้งคู่มาเสริมความแข็งแกร่งของกันและกัน..!!

ที่น่าสนใจ ในส่วนของ WORK จากเดิมเป็นเจ้าพ่อเกมโชว์ เจ้าพ่อรายการประกวดร้องเพลง แต่เนื่องจากผ่านพ้นยุคทองของเกมโชว์และรายการประกวดร้องเพลงไปแล้ว อีกทั้งหลาย ๆ ช่องก็ทำกันเกลื่อน…การแตกไลน์มาทำธุรกิจภาพยนตร์ก็น่าจะเป็นอีกขาที่มาช่วยชดเชยบางเซกเตอร์ที่อิ่มตัวไปแล้วได้ไม่มากก็น้อย

ด้าน MAJOR จากเดิมเป็นผู้ฉายหนัง…เพิ่มบทบาทมาเป็นผู้สร้างหนังด้วย ก็จะทำให้มีความครบเครื่องมากขึ้น…แน่นอนว่าหากหนังเรื่องไหนเกิดปังขึ้นมา MAJOR ก็จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ทั้งในฐานะเจ้าของโรงภาพยนตร์ (รายได้จากการขายตั๋วหนัง) คนสร้างหนัง และรายได้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การขายป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงมาก

(มีตัวอย่างความสำเร็จให้เห็นมาแล้ว จากก่อนหน้านี้ส่งบริษัทลูก บริษัท เมเจอร์ จอยน์ ฟิล์ม จำกัด ไปจับมือกับบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC (ช่อง 3) สร้างภาพยนตร์เรื่อง ธี่หยด กลายเป็นหนังทำเงินที่สร้างรายได้หลายร้อยล้านบาท ซึ่งประเมินกันว่าจะช่วยสร้างกำไรให้กับ MAJOR ได้เกือบ 100 ล้านบาทเลยทีเดียว)

อ้อ…MAJOR จะได้อีกขาจากการเป็นผู้ถือหุ้น WORK ด้วยนะ…

เอาเป็นว่า ก็ win-win กันทั้งคู่

ส่วนใครจะ win มากกว่ากัน…ลองไปบวกลบคูณหารกันดูละกัน..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button