พาราสาวะถี

แค่ แพทองธาร ชินวัตร สื่อสารว่า ทักษิณ ผู้เป็นพ่ออยากจะบินไปเชียงใหม่เพื่อไปเคารพอัฐิบรรพบุรุษ เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง ก็มีทั้งพวกขาประจำที่จงเกลียดจงชังกระแนะกระแหนตั้งคำถามในเชิงสงสัยต่ออาการเจ็บป่วย


แค่ แพทองธาร ชินวัตร สื่อสารว่า ทักษิณ ผู้เป็นพ่ออยากจะบินไปเชียงใหม่เพื่อไปเคารพอัฐิบรรพบุรุษ เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง ก็มีทั้งพวกขาประจำที่จงเกลียดจงชังกระแนะกระแหนตั้งคำถามในเชิงสงสัยต่ออาการเจ็บป่วยทันทีทันใดว่า หนักจริงหรือไม่ ส่วนฝ่ายการเมืองก็ชิงสร้างภาพเปรียบเทียบกับ เศรษฐา ทวีสิน ทันควัน บรรยากาศของอดีตนายกฯ วันที่เดินทางกลับบ้านเกิดหากมีคนแห่แหนมาต้อนรับมืดฟ้ามัวดิน กับที่นายกฯ ปัจจุบันลงพื้นที่มันแตกต่างกัน จะถือเป็นสัญญาณอะไรทางการเมืองหรือไม่

ทั้งที่ความจริงมันต่างบริบทกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งลงพื้นที่ไปแทบทุกจังหวัดเพราะหน้าที่ในการบริหารประเทศ รับฟังปัญหา เสียงสะท้อนจากประชาชนเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ หรือนำกลับมาหารือในที่ประชุม ครม. เพื่อให้กระทรวงที่รับผิดชอบ หน่วยงานที่ดูแลเข้าไปแก้ไขความเดือดร้อนให้ประชาชน ส่วนอีกคนกลับบ้านเกิดด้วยความตั้งใจไปเคารพบรรพบุรุษจากที่ไม่ได้ทำมานานถึง 17 ปี แต่ด้วยความที่มีคนรักมาก จึงจะไปต้อนรับเพื่อให้หายคิดถึง จึงไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาเทียบเคียงเพื่อหวังผลกันแต่อย่างใด

เป็นธรรมดาของฝ่ายเสี้ยม อะไรที่จะทำให้สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลย่อมทำทุกวิถีทาง จนทำให้ ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้จัดการรัฐบาลต้องออกมาแตะเบรกว่า อย่าไปคิดไกลขนาดนั้น มันปวดหัว ขอให้ดูความเป็นจริง มนุษย์คนหนึ่งอยากกลับไปเยี่ยมบ้านแล้วเผอิญมีคนที่รักและชื่นชมมาเยี่ยมก็เท่านั้นเอง ย้ำว่าขอให้มองเป็นเรื่องธรรมดา อย่ามองไกลไป คิดเยอะเกินไป มันผิดธรรมชาติของมนุษย์ ให้คิดเป็นแค่เรื่องของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น อย่าไปคิดเรื่องอื่น

คงเป็นเรื่องยากที่จะไปห้ามความคิดของคนโดยเฉพาะฝ่ายที่เห็นต่าง นั่นจึงทำให้มองว่าทั้งประเด็นทักษิณกลับเชียงใหม่ อุ๊งอิ๊งเตรียมบินไปเยือนกัมพูชา จะเป็นสองเรื่องที่ฝ่ายเสี้ยมนำไปขยายผล บั่นทอนความรู้สึกของเศรษฐา ในทำนองที่ว่าถูกเบียดขบในแง่ของอำนาจการบริหาร ทั้งที่ความจริงตั้งแต่ตั้งรัฐบาลจนมาถึงนาทีนี้ ฟากพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาลต่างรู้ดีว่า ทิศทางการทำงาน การตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ล้วนแต่ผ่านการตั้งวงถกให้ตกผลึกโดยมีเศรษฐานั่งหัวโต๊ะทั้งสิ้น

อาจจะด้วยสถานการณ์บังคับที่ว่า การจะตัดสินใจในเรื่องใดก็ตาม เศรษฐาในฐานะที่สังกัดพรรคเพื่อไทยจะถือเอาความเป็นพรรคแกนนำชี้นำ และทำตามที่พรรคต้องการไม่ได้ ต้องรับฟังความเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย เป็นการให้เกียรติและสะท้อนภาพการทำงานร่วมกันเป็นทีม แม้บางเรื่องอย่างดิจิทัลวอลเล็ตจะเป็นนโยบายสำคัญของเพื่อไทย ก็เห็นได้ว่าเมื่อมีเสียงทักท้วงจากหลายฝ่าย เศรษฐาก็ไม่ดันทุรังเช่นเดียวกับพรรคแกนนำที่ต้องประสานกับพรรคร่วมเพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปในทางเดียวกัน

ภาพของการทำงานในส่วนของฝ่ายบริหารจึงเป็นไปในลักษณะของการถ้อยทีถ้อยอาศัย เรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญต้องผ่านการหารือทั้งจากฝ่ายการเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ ขณะที่เรื่องที่เกี่ยวพันกับการใช้เสียงของฝ่ายนิติบัญญัติ แกนนำของพรรคก็จะตั้งวงถกกันเพื่อให้ความเห็นสอดคล้องต้องกัน บทเรียนมีให้เห็นแล้วว่า หากพรรคใดพรรคหนึ่งมีท่าทีกระต่ายขาเดียวในเรื่องที่ตัวเองต้องการมันจะพากันพังทั้งคณะ

ไม่เพียงแต่การสร้างสายสัมพันธ์ภายในฝ่ายบริหาร เพื่อให้การทำงานของเศรษฐาราบรื่น เรียบร้อย ฝ่ายนิติบัญญัติก็มีการแลกเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา หาข่าว ตามเกมความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม เหมือนการที่ฝ่ายค้านเตรียมจะยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ มาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ รู้กันดีว่า เจตนาไม่ใช่การตรวจสอบ ทักท้วง ชี้แนะให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา หรือดำเนินการเอาผิดกับสิ่งที่เห็นว่าไม่ชอบ แต่ต้องการที่จะใช้เป็นเวทีเปิดแผลทางการเมืองจากวาทกรรมที่จะสร้างขึ้น หวังผลในคะแนนนิยม

ประเด็นนี้ภูมิธรรมจึงดักคอไว้ล่วงหน้า รัฐบาลที่บริหารงานได้เพียง 6 เดือน งบประมาณยังไม่ได้ใช้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากจะกล่าวหาว่าทุจริตก็ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูด หรืออาจจะใช้วิธีตั้งกระทู้ถามก็ยังได้ สามารถทำได้หลายวิธี พิจารณาจากประเด็นที่ฝ่ายค้านตั้งไว้เตรียมที่จะยื่นญัตติซักฟอก แสดงว่ามองว่ารัฐบาลมีปัญหาทั้งระบบ ดังนั้น อย่าเอาแค่ประเด็นเดียวมาใช้โอกาสนี้ในการอภิปราย ในการสร้างความนิยม ถ้าเป็นเช่นนั้น อย่าทำเลย

อย่างที่เข้าใจกันว่า แกนนำฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลเครื่องมือที่ใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามนับตั้งแต่เข้าสภามาในยุคอนาคตใหม่คือ การใช้กระบวนการในสภาเปิดประเด็นที่ตั้งขึ้นมา แล้วนำไปขยายผลต่อผ่านโซเซียลมีเดียที่ตัวเองถนัด เมื่อมาจับมือกับประชาธิปัตย์ที่ช่ำชองในฐานะฝ่ายค้านอาชีพด้วยแล้ว การยื่นซักฟอกในลักษณะนี้ ย่อมถูกอีกฝ่ายมองว่า เป็นการใช้เวทีสภาฯ เป็นเวทีทางการเมือง เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง หรือสร้างความได้เปรียบทางการเมือง

ท่วงทำนองเช่นนี้ของผู้จัดการรัฐบาล ย่อมเป็นการท้าทายให้อีกฝ่ายเปิดหน้าชก ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีข้อมูลบางส่วนเล็ดลอดออกมาสู่สายตาประชาชน เพื่อยืนยันว่าฝ่ายค้านไม่ได้มุ่งเน้นที่จะเล่นเกมการเมือง แต่เป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบบนพื้นฐานของข้อมูล หลักฐานที่ได้รับมาว่ามีการบริหารงานที่ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ หรือเกิดการทุจริตในเรื่องใดบ้าง หากไม่มีการเปิดเผยหรือตอบโต้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ย่อมทำให้อีกฝ่ายมองขาดว่า แท้จริงแล้วไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่ต้องหวั่นไหวอยู่ในมือฝ่ายค้านแต่อย่างใด

ไม่เพียงเท่านั้น เสี่ยอ้วนยังรุกต่อไปถึงกรณีที่ว่าฝ่ายค้านต้องการขอเวลาอภิปรายถึง 3 วัน กับคำตอบในเชิงเย้ยหยันว่า “โอ๊ย! หากบอกว่ามีแค่บางเรื่องเท่านั้น จะไปขออะไรตั้ง 2-3 วัน” รัฐบาลยังไม่ได้ทำงาน แล้วจะมีเวลาอะไรมานั่งตั้งคำถามเยอะแยะ การทุจริตก็ยังไม่เกิด แล้วจะใช้เวทีนี้ในการทำอะไร ขอให้เอาตามความเป็นจริงว่ามีปัญหาอยู่ที่กระทรวงไหน ขอให้พูดเข้าประเด็นนั้นเลย จะได้ไม่ต้องอภิปรายเยิ่นเย้อ เปิดเกมด้วยการแหย่ไปแบบนี้ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปล่อยผ่าน การศึกทางการเมืองเป็นเรื่องของการทำให้อีกฝ่ายออกอาการ ยิ่งแสดงออกมามากเท่าไหร่ ถึงวันรบจริงแทนที่จะดุเดือดมันก็จะกลายเป็นงานกร่อยไปเสียฉิบ

Back to top button