NSL เติมเต็ม ‘กลางน้ำ’

หากเอ่ยชื่อบริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL เชื่อว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักหุ้นตัวนี้


หากเอ่ยชื่อบริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL เชื่อว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักหุ้นตัวนี้ แต่ถ้าบอกว่า NSL เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความอร่อยเมนูอาหารเช้า โดยเฉพาะแซนวิชอบร้อน เบเกอรี่ และอีกหลากหลายเมนูในเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ น่าจะร้องอ๋อกันทันที..!!

โดย NSL เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่กลางปี 2564 ด้วยไอพีโอ 12 บาท…

ในมุมของหุ้น แม้ไม่วิ่งปรู๊ดปร๊าด แต่ราคาก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ อาจเห็นการพักตัวบ้างตามภาวะตลาด แต่ภาพรวมถือว่าปรับตัวขึ้นได้ดี โดยในรอบ 2 ปีเศษที่เข้าเทรด เคยทำสถิติขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุด 26.25 บาท เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2566 ก่อนจะย่อตัวลงมา และปัจจุบันซื้อขายกันที่ 21 บาทเศษ…

เท่ากับว่า ใครที่ยังมีหุ้นตัวนี้ติดอยู่ในพอร์ต ณ ราคาไอพีโอ ป่านนี้ก็รวยเละไปแล้วน่ะสิ..!! น่าอิจฉาเนอะ

ในแง่ของผลประกอบการก็ถือว่าทำได้ดี…NSL เป็นเพียงไม่กี่บริษัทที่เติบโตสวนวิกฤตโควิด สะท้อนได้จากงบปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,927.58 ล้านบาท กำไรสุทธิ 151.41 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 5.17% ถัดมาปี 2564 มีรายได้รวม 3,042.88 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 191.11 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 6.28% ส่วนปี 2565 มีรายได้รวม 4,009.77 ล้านบาท กำไรสุทธิปาไป 297.60 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 7.42%

ขณะที่ปี 2566 มีรายได้รวมเพิ่มเป็น 4,809.33 ล้านบาท กำไรสุทธิแตะที่ 333.48 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 6.91%

จุดแข็งที่ทำให้ NSL เติบโตต่อเนื่อง นั่นเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ของ NSL ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ EZY TASTE, EZY BAKE และ EZY SWEET (ผลิตให้กับเซเว่นฯ เจ้าเดียว) โดยเฉพาะแซนวิชอบร้อนได้กลายเป็นเมนูฮิตโดนใจของใครหลาย ๆ คน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตที่เร่งรีบของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับมีช่องทางขายที่แข็งแกร่ง ผ่านเซเว่นฯ ทุกสาขาทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและสะดวก

ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นการเติบโตของ NSL ควบคู่ไปกับการขยายสาขาของเซเว่นฯ…

ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ เพราะการผูกติดอยู่กับเซเว่นฯ มากเกินไป อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีการเปลี่ยนแปลง…ถ้าถึงตอนนั้นคงต้องตัวใครตัวมันละกัน

แต่เชื่อว่า NSL คงมองหาทางหนีทีไล่ไว้บ้างแล้วแหละ เห็นได้จากการกระจายความเสี่ยงไปขายยังช่องทางอื่น ๆ ด้วยการผุดแบรนด์ใหม่ ขายใน Tops, Central Food Hall, Villa Market, Gourmet Market เป็นต้น แม้ยังมีสัดส่วนที่น้อยอยู่ก็ตาม

ขณะที่ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ NSL เตรียมจะเข้าไปซื้อหุ้นสัดส่วน 79% ในบริษัท เอสพีซีไอ จำกัด (SPCI) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิต ขายส่ง ขายปลีก ส่งออกอาหารและวัตถุดิบอาหาร มูลค่ารวม 39.50 ล้านบาท

ถ้าให้วิเคราะห์ดีลนี้ อันดับแรก คงเป็นการต่อยอดธุรกิจร่วมกันแหละ…ในมุมของ NSL ก็ไม่ต้องไปหาซื้อวัตถุดิบจากบริษัทอื่นให้ยุ่งยาก…หรือตอนนี้อาจจะซื้อวัตถุดิบจากบริษัท เอสพีซีไอ อยู่แล้วก็ได้…งั้นก็รวบหัวรวบหางซะเลยดีกว่า

ทำให้จากเดิม NSL ที่มีโปรดักส์แค่ปลายน้ำ (ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค) ก็จะเพิ่มกลางน้ำ (ขายวัตถุดิบ) เข้ามา…

ขณะเดียวกัน เป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ อย่างน้อย ๆ ก็มีพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นมา ซึ่งหากบริษัท เอสพีซีไอ เติบโตดี…NSL ก็จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ…

แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลของบริษัท เอสพีซีไอ น้อยไปนิด…รู้แค่ว่าเป็นบริษัทที่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2565 ยังไม่มีการรายงานผลประกอบการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด…เลยไม่รู้ว่าซื้อมาแล้วจะปังหรือพังกันแน่..??

ที่น่าตั้งข้อสังเกต ถ้าดูจากหนึ่งในกรรมการของบริษัท เอสพีซีไอ ที่ปรากฏชื่อ “จุไรลักษณ์ เจียมวงษา” และเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 8 ของ NSL ด้วยนั้น…งานนี้จะมีอะไรในกอไผ่ หรือในกอผักตบอ๊ะป่าว..?

ก็แล้วแต่จะคิด..!?

…อิ อิ อิ… 

Back to top button