เรื่องของ JAS ต้องมองยาวๆ

อาจารย์มองว่าการขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถือเป็นความจำเป็นสำหรับบริษัทนี้เป็นอย่างยิ่ง คือถ้าไม่ทำวันนี้ วันอื่นก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นรีบเริ่มทำซะเลยตอนนี้ ตอนที่มีความพร้อมอยู่แล้วก็น่าจะเป็นการช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่


สภาแมงเม่า: ดร.สมชาย

 

คุณโอฬาร จากพลับพลาไชย กรุงเทพฯ ระบายความในใจมาว่า เป็นแฟนคลับหุ้น JAS หรือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มายาวนาน แต่กำลังตัดสินใจว่าจะหยุดการลงทุนในบริษัทนี้ดีไหม เพราะรู้สึกไม่ดีกับการทำธุรกิจ 4G เหมือนเป็นการลงทุนที่เกินตัวหาจุดคุ้มทุนไม่ได้ ดีไม่ดีต้องเพิ่มทุนด้วย อีกทั้งผู้บริหารก็ไม่เคยชี้แจงถึงเหตุผลและแนวทางของการทำธุรกิจนี้ให้กระจ่างอย่างจริงๆ จังๆ ซักที วันนี้จึงถามมาว่า คิดถูกแล้วหรือไม่?

 

ก่อนอื่นเลยครับ อาจารย์อยากให้ คุณโอฬารถามตัวเองดูก่อนว่าเป็น นักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร

ถ้าเป็นนักลงทุน ความหมายคือ ลงทุนระยะยาว อาจารย์คิดว่าการรุกเข้าสู่ธุรกิจ 4G ของ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ (JAS Mobile) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ JAS ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่น่าสนใจและต้องติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

อาจารย์มองว่าการขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถือเป็นความจำเป็นสำหรับบริษัทนี้เป็นอย่างยิ่ง คือถ้าไม่ทำวันนี้ วันอื่นก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นรีบเริ่มทำซะเลยตอนนี้ ตอนที่มีความพร้อมอยู่แล้วก็น่าจะเป็นการช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไหร่

ถามว่า ทำไม JAS จำเป็นต้องทำธุรกิจนี้? อาจารย์ขอบอกว่า เป็นเพราะธุรกิจหลักที่ทำอยู่ในปัจจุบันคือ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ หรืออินเทอร์เน็ตบ้าน นั้นย่างเข้าสู่ช่วงอิ่มตัวแล้ว อัตราการเติบโตถือว่าต่ำมาก แตกต่างจากการใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่ ซึ่งยังมีช่องว่างให้เข้าไปสร้างรายได้อีกมหาศาล

เหตุนี้เอง อาจารย์จึงมีมุมมองต่อเรื่องนี้ที่ค่อนข้างจะสวนกระแสกับความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ โดยอาจารย์มองว่า การลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ รวมถึงเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้จะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็ตามที

ทีนี้ มาดูในส่วนของการชำระค่าใบอนุญาต ซึ่งถือเป็นประเด็นหลักที่สร้างความวิตกกังวลแก่ผู้ถือหุ้นมากที่สุด เนื่องจากราคาประมูลที่ต้องจ่ายนั้นสูงลิบลิ่วถึง 75,654 ล้านบาท แต่ต้องอย่าลืมว่า หลักเกณฑ์และขั้นตอนในการชำระเงินไม่ได้ระบุว่าต้องชำระหมดทั้งจำนวนเลยในครั้งเดียว

อาจารย์จะสรุปให้เข้าใจง่ายๆเลยว่า งวดแรก (year 0) ภายใน วันที่ 21 มีนาคม 2559 JAS ต้องจ่ายให้ทาง กสทช. 8,040 ล้านบาท งวดสอง (year 1) 4,020 ล้านบาท งวดสาม (year 2) 4,020 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 59,574 ล้านบาท ค่อยไปจ่ายในงวดสี่ (year 3) ซึ่งถ้าวัดจากตัวเลขกำไรเป็นรายปีคูณด้วยระยะเวลา 4 ปี อาจารย์เชื่อมั่นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ส่วนประเด็นเรื่องการเพิ่มทุน คือถ้าจะต้องเพิ่มกันจริงๆเพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจและกระจายความเสี่ยง อาจารย์มองว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่เรื่องแบบนี้ต้องขอย้ำเหมือนกันว่าต้องมองกันไปยาวๆนะครับ

อีกอย่างคือ หากมีการเพิ่มทุนขึ้นมา ก็คงเป็นการเพิ่มทุนใน JAS Mobile นั่นแหละครับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ราคาหุ้นบริษัทแม่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการเพิ่มทุน แค่ในระยะแรกอาจจะไม่สามารถรับรู้รายได้จากบริษัทลูกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในระยะยาวอาจารย์เชื่อว่า ตัวเลขกำไรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนในเรื่องของผู้บริหารไม่ค่อยจะพูดอะไรให้กระจ่างอย่างจริงๆจังๆ อาจารย์ก็เห็นด้วยเหมือนกันว่า ผู้บริหารบริษัทนี้เป็นเช่นนั้นมานมนานแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือเหมือนจะชอบให้ข้อมูลแค่ตามที่มีการกำหนดไว้ว่าต้องเปิดเผยเรื่องอะไรบ้าง ทั้งที่บางเรื่องที่ผู้ถือหุ้นอยากรู้จริงๆ และผู้คุมกฎก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เปิดเผย ก็ดันไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้อาจารย์ก็จนปัญญาจริงๆครับ

นั่นแหละครับ ตอนนี้ คุณโอฬาร คงเข้าใจแล้วทำไมอาจารย์ถึงอยากให้ลองถามตัวเองก่อนว่าเป็นอะไรและซื้อหุ้นเพื่ออะไร เพราะถ้าเป็นนักลงทุน อาจารย์มองว่า JAS เป็นหุ้นที่ดีน่าเก็บไว้ตัวหนึ่ง เนื่องจากอนาคตยังสามารถเติบโตไปได้อีกยาวไกล อีกทั้งกระแสเชิงลบในปัจจุบันยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาถึงจุดที่น่าสนใจชวนให้สะสมเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าเป็นนักเก็งกำไร อาจารย์ว่า คงต้องคิดหนักหน่อย เพราะกระแสเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ดูไม่สู้จะดีซักเท่าไหร่ในระยะสั้นๆ ซึ่งเป็นเพราะความวิตกในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องเงินลงทุนค่าใบอนุญาต งานวางระบบ การพัฒนาด้านบุคลากร การเพิ่มทุน และรวมถึงการแข่งขันอย่างดุเดือดที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย

Back to top button