GRAMMY ‘จุฬางกูร’ โยกพอร์ต.!?

ยังคงเป็นปริศนาฟ้าแลบต่อไป..?? สำหรับบิ๊กล็อตหุ้นบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY


ยังคงเป็นปริศนาฟ้าแลบต่อไป..?? สำหรับบิ๊กล็อตหุ้นบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา 2 รายการ รวมกันจำนวน 94.56 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 11.53% ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6.00 บาท…ซึ่งสูงกว่าราคาในกระดานเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ปิดตลาด 5.30 บาท

เอ๊ะ…จะเป็นการขายของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อเพิ่มฟรีโฟลตให้ถึงเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเปล่า..?? อันนี้ก็ไม่รู้สินะ แต่ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่งปลดเครื่องหมาย CF ของหุ้น GRAMMY หลังจากมีการขายหุ้นสู่ผู้ถือหุ้นรายย่อยครบตามกำหนด

เมื่อยังจับมือใครดมไม่ได้ว่าเป็นฝีมือไผ..??

วานนี้ (19 พ.ค. 2568) เลยเห็นการเทขายหุ้น GRAMMY จนราคาทรุดไปแตะที่ 4.94 บาท ก่อนจะกลับขึ้นมาปิดตลาดที่ 5.40 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1.89%

ที่จริงก่อนเกิดบิ๊กล็อตดังกล่าว ก็มีการโยกพอร์ตของ “กลุ่มจุฬางกูร” มาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2568 โดย “ณัฐพล จุฬางกูร” ผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ได้ขายบิ๊กล็อตจำนวน 40.95 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6.00 บาท ให้กับ “หทัยรัตน์ จุฬางกูร” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 4 คิดเป็นมูลค่า 245.67 ล้านบาท

ภายหลังธุรกรรมดังกล่าว ทำให้ “ณัฐพล” หล่นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 4 เหลือถือหุ้น 40.18 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.9000% จากเดิมถืออยู่ที่ 81.12 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.8936%

ขณะที่ “หทัยรัตน์” ขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ด้วยจำนวน 107.82 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 13.1502% จากเดิมถืออยู่ที่ 66.88 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 8.1566%

โอเค…แม้ GRAMMY จะมี “อากู๋–ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งในนามบริษัท ฟ้า ดำรงชัยธรรม จำกัด ซึ่งถือหุ้นจำนวน 426.78 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 52.05% แต่อย่าลืมว่าผู้ถือหุ้นอันดับ 2 เป็น “กลุ่มจุฬางกูร” แล้วนะ

ก็น่าสนใจว่าเป้าหมายของ “กลุ่มจุฬางกูร” เข้ามาเพื่ออะไร..?? ต้องการอะไรจาก GRAMMY..??

จะว่ามาถือหุ้นเพื่อรับเงินปัน…ก็ไม่เมคเซนส์ เนื่องจาก GRAMMY ห่างหายการจ่ายปันผลมานานหลายปีแล้ว ที่จ่ายครั้งล่าสุดเป็นปี 2563 ในรอบผลประกอบการงวดปี 2562 ซึ่งจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.20 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้จ่ายเงินปันผลอีกเลย

ส่วนจะมาถือเพื่อหวังแคปปิตอลเกน ก็ไม่เมคเซนส์อีกนั่นแหละ เพราะ GRAMMY เป็นหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ มูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันแห้งเหี่ยวแค่หลักหมื่นหรือแสนบาทเท่านั้น…หรือถ้าหวังจะเก็งกำไรจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นมากขนาดนี้…ว่าป๊ะล่ะ..??

แล้ว “กลุ่มจุฬางกูร” หวังอะไรใน GRAMMY..?? อันนี้น่าคิด

ที่พอเป็นเนื้อหนัง ก็คงเป็นสินทรัพย์รวมที่มีกว่า 8,111.55 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน จำพวกลิขสิทธิ์เพลง หนัง ละคร เสียมากกว่า…

หันไปดูผลประกอบการก็ไม่ได้อลังการงานสร้าง…ในปี 2564 มีรายได้รวม 3,892.83 ล้านบาท กำไรสุทธิ 497.12 ล้านบาท ถัดมาปี 2565 มีรายได้รวม 5,321.58 ล้านบาท กำไรสุทธิ 166.41 ล้านบาท ปี 2566 รายได้รวม 5,990.86 ล้านบาท พลิกมาขาดทุนสุทธิ 132.57 ล้านบาท และปี 2567 รายได้รวม 6,252.85 ล้านบาท กำไรสุทธิ 195.57 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2568 มีรายได้รวม 1,611.03 ล้านบาท กำไรสุทธิ 103.96 ล้านบาท

สงสัย GRAMMY คงมีดีอะไรซ่อนอยู่ที่เราไม่รู้ไม่เห็น…แต่ “กลุ่มจุฬางกูร” รู้และเห็นหรือเปล่าน้อ..?? เรื่องนี้คงเป็นปริศนาต่อไป

ช็อตที่น่าจับตา GRAMMY ในยุคนี้เป็นช่วงปลายของ “กลุ่มดำรงชัยธรรม” แล้ว ก็ไม่รู้ว่า GEN 2 จะเอายังไงต่อ..?? ในขณะที่ “กลุ่มจุฬางกูร” ก็รุกคืบมาซะขนาดนี้…เอ๊ะ หรือจะมีการสลับขั้วกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อ๊ะป่าว..??

อย่าลืมว่าตอนที่ “กลุ่มจุฬางกูร” มาถือหุ้นบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด ก็เก็บหุ้นมาเรื่อย ๆ จนขยับขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาแล้วนะจิบอกให้…

หรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยป๊ะเนี่ย..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button