พาราสาวะถี

ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่กับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ชี้ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง”


ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่กับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ชี้ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” จนทำให้รัฐเสียหายจากการขายข้าวในโครงการจำนำข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี มีคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 10,028 ล้านบาท โดยที่เจ้าตัวถึงกับโอดครวญ ให้ชดใช้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด ขณะที่แวดวงวิชาการโดยเฉพาะนักกฎหมายที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ต่างมีความกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในแง่การใช้อำนาจของผู้นำประเทศ และการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้

ความเห็นหนึ่งน่าสนใจคือรายของ ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ในฐานะนักวิชาการด้านกฎหมายที่ชี้ว่า ต่อไปนายกฯ ประเทศนี้จะไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ ไม่สามารถนำนโยบายที่รณรงค์หาเสียงมาปฏิบัติได้เลย เพราะหากมีใครไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ทักท้วงขึ้นมา นายกฯ ต้องหยุดทันที และหากบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่อยากต้องรับผิด ถูกดำเนินคดี วิธีการปลอดภัยที่สุดคือไม่คิด ไม่เสนอสิ่งใหม่ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเสี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ระบบราชการทำกันไปตามแต่ละวัน นั่นเท่ากับนายกฯ จะแปลงสภาพกลายเป็น “ปลัดประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า ถ้าใช้กรณียิ่งลักษณ์เป็นบรรทัดฐาน ก็น่าจะสามารถเอาผิดกับนายกฯ คนอื่น ๆ หลังจากนั้นได้ โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต้องพิจารณากันไปที่คำพิพากษาที่เกิดขึ้น เหตุที่ทำให้ชี้ว่าอดีตนายกฯ หญิงประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะไม่ยอมระงับยับยั้งตามที่สตง.และป.ป.ช.ได้มีข้อทักท้วงไป ดังนั้นรัฐบาลอื่น ยิ่งรัฐบาลคนดีย์ ไม่เคยมีองค์กรอิสระหรือหน่วยงานตรวจสอบไหนเคยติติงแม้แต่เรื่องเดียว ทุกอย่างได้ครับพี่ ดีครับท่านมาโดยตลอด

ความจริงแม้จะไม่มีใครมาตรวจสอบ ทักท้วง หรือคัดค้านการดำเนินนโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ บรรดาผู้ร่วมขบวนการก็ไม่ต้องรับผิดใด ๆ อยู่แล้ว เพราะคณะรัฐประหารคสช.ที่ได้ฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง หรือทางกฎหมายใด ๆ อยู่แล้ว เนื่องจากได้มีการนิรโทษกรรมให้กับตนเองไว้แล้ว มิหนำซ้ำยังมีการเขียนบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญคุ้มครองการกระทำของตนเองทั้งหมดไว้ในรัฐธรรมนูญ แบบเดียวกันกับมาตรา 44 ของคำสั่งคสช.

กรณีของยิ่งลักษณ์ คงเป็นหน้าที่ทนายความที่จะดำเนินการยื่นร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ เบื้องต้น นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวได้บอกแล้วว่า จะนำหลักฐานที่เป็นการขายข้าว 18.5 ล้านตัน ที่ได้เงินมาทั้งสิ้น 1.4 แสนล้านบาท ภายในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร เข้าไปเป็นหนึ่งในหลักฐานเพื่อขอยื่นพิจารณาคดีใหม่ ทั้งหมดต้องดำเนินการภายใน 90 วัน หลังจากที่รู้คำพิพากษาในคดีดังกล่าว

ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่บรรดาขาประจำ ฝ่ายเสี้ยม กองแช่งทั้งหลาย ย่อมอดที่จะตีอกชกตัวไม่ได้ พร้อมกับมองกันไปไกลถึงคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนกรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ โดยเชื่อกันว่าน่าจะส่งผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาล และมั่นใจว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่รอดแน่ ทั้งที่ความจริงในวันดังกล่าวเป็นเพียงการนัดพร้อมหรือนัดไต่สวนเท่านั้น

ความหมายของคำว่านัดพร้อมก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเป็นวันที่ศาลนัดคู่ความที่เกี่ยวข้องมาศาลเพื่อสอบถามถึงพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายว่ามีอะไรบ้าง พยานใดที่สามารถรับกันได้ อันหมายถึงความมีอยู่ ความถูกต้อง และกำหนดประเด็นการต่อสู้ หรือจะเรียกว่าการกำหนดประเด็นคดีก็ได้ หลังจากนั้นจึงจะให้คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่าจะสืบพยานฝ่ายละกี่ปาก มีใครบ้าง เกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร เพื่อความยุติธรรมยึดตามกระบวนการ ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

การเมืองช่วงมะรุมมะตุ้มก็ต้องอาศัยจังหวะสถานการณ์แบบนี้แหละ ในการที่จะเปิดแผล ขยายผล เพื่อแสวงหาแนวร่วมในการเคลื่อนไหวแบบหวังผล ขณะที่สองอดีตนายกฯ พี่น้องตระกูลชินวัตรกำลังเผชิญชะตากรรมกับสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นนิติสงคราม ภายในรัฐบาลพลิกขั้วก็ถูกจับตาอย่างเป็นพิเศษจากปมการเดินหน้าสะสางคดีฮั้วเลือกสว.ของกกต. ที่ดึงเอาดีเอสไอมาเป็นคณะทำงานสืบสวนและไต่สวน ว่ากันว่าน่าจะเป็นจุดแตกหักสำคัญ เพราะเท่ากับเป็นการทุบกล่องดวงใจของพรรคสีน้ำเงินที่ถูกมองว่าเป็นผู้กุมบังเหียนของสว.เสียงส่วนใหญ่ สั่งซ้ายหันขวาหันได้

ในเชิงพฤตินัยและนิตินัยย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องย่อมต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย กกต.ต้องทำหน้าที่อย่างถึงที่สุด เพราะตามเงื่อนเวลาที่ต้องสะสางเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับตั้งแต่มีการเลือกสว.ระดับประเทศนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่อีกเดือนเดียว จึงไม่แปลกที่ทุกอย่างจะมาใส่เกียร์เดินหน้ากันแบบเข้มข้นอย่างที่เห็น มิเช่นนั้นก็จะถูกร้องเอาผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้

ส่วนฝ่ายการเมืองที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำแล้วย้ำอีก ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ใครพาดพิงทำให้เสียหายก็ต้องฟ้องไปตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ส่วนอีกฝ่ายจะไปดำเนินการเอาผิดก็เป็นสิทธิเช่นเดียวกัน การที่จะลากเอามาเกี่ยวพันกันกับพรรคเพื่อไทย ในเมื่อเป็นการดำเนินการของกกต. ยังมองไม่เห็นความเชื่อมโยง ขนาดถึงขั้นที่ว่าพรรคสีน้ำเงินจะล้มร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ถ้าทำเช่นนั้นไม่ต่างจากการฮาราคีรีตัวเองทางการเมือง

จนถึงเวลานี้ต่อให้ไม่มีเสียงหนุนจากภูมิใจไทยในวาระแรก แพทองธารพร้อมแกนนำเพื่อไทยต่างก็มั่นใจ และได้รับสัญญาณมาแล้วว่า เรื่องเสียงข้างมากไม่ต้องห่วง มีการยกหูเดินสายขอเสียงสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้าม หรือบรรดาสส.ที่มีใจให้กับฝ่ายกุมอำนาจไว้หมดแล้ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น มีการมองไปการจัดสรรงบประมาณในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญกันแล้ว ที่ได้ข่าวแว่วมาหลังร่างกฎหมายงบประมาณผ่านวาระรับหลักการไปแล้ว อุ๊งอิ๊งต้องปรับครม.ตามที่พ่อนายกฯ ชี้แนะมา

อรชุน

Back to top button