
ค่าดอลลาร์ตกต่ำ
สัปดาห์นี้ดอลลาร์ตกต่ำสุดในรอบปี แต่สถานการณ์ของดอลลาร์ยังไม่กระเตื้องขึ้นเพราะว่าล่าสุด มอร์แกน สแตนลีย์ ออกมาฟันธงว่าดอลลาร์จะยังคงตกต่ำลงไปอีกถึงกลางปีหน้าที่ 9%
สัปดาห์นี้ดอลลาร์ตกต่ำสุดในรอบปี แต่สถานการณ์ของดอลลาร์ยังไม่กระเตื้องขึ้นเพราะว่าล่าสุดบริษัท มอร์แกน สแตนลีย์สำนักวิเคราะห์ชื่อดังของอเมริกาออกมาฟันธงว่าดอลลาร์จะยังคงตกต่ำลงไปอีกถึงกลางปีหน้าที่ 9% จากระดับปัจจุบัน
ดอลลาร์สหรัฐเคยแข็งค่าขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 จากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของสหรัฐฯ และยังคงแข็งค่าต่อเนื่องหลังทรัมป์คว้าชัยชนะในเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว โดยนักลงทุนคาดหวังว่าเขาอาจสานต่อนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นผลดีต่อการเติบโต
แน่นอนว่านโยบายการค้าของเขาส่งผลกับสกุลเงินเช่นกัน เพราะนักลงทุนจำนวนไม่น้อยมองว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่เขาสัญญาจะนำมาใช้อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องขึ้นดอกเบี้ย หรืออย่างน้อยก็จะยังไม่ลดดอกเบี้ยเร็วอย่างที่ตลาดเคยคาดไว้
แนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์ดูน่าดึงดูดมากขึ้น เพราะนักลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากเงินฝากหรือสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์มากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ แต่ผลข้างเคียงกลับทำให้ค่าดอลลาร์ถดถอยลง จนกระทั่งล่าสุดดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของค่าดอลลาร์ ได้ถดถอยลงมาสู่ระดับต่ำสุดที่ 98.8 จนกระทั่งมอร์แกน สแตนลีย์ ออกมาวิเคราะห์ในเชิงลบดัชนีดอลลาร์จะถดถอยลงไปอีก 9% จากระดับปัจจุบันภายในกลางปี 2569 จากสองปัจจัยหลัก คือนโยบายการค้าที่ไม่ได้ผลและดอกเบี้ยเฟดเป็นขาลงพอดี
ประเมินว่า ยูโร เยน และฟรังก์สวิสจะเป็นสกุลเงินที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ เนื่องจากทั้งหมดเป็นคู่แข่งสำคัญในฐานะสกุลเงินปลอดภัยที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นทางเลือก นอกจากนี้ ยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าจากระดับประมาณ 1.13 ดอลลาร์ในปัจจุบัน ไปแตะ 1.25 ดอลลาร์ในปีหน้า ส่วนเงินปอนด์ก็อาจขยับจาก 1.35 ไปถึง 1.45 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงทางการค้าของอังกฤษที่ต่ำ ขณะที่เงินเยนมีโอกาสแข็งค่าจาก 143 เยนต่อดอลลาร์ ไปสู่ระดับ 130 เยน
รายงานเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ของมอร์แกน สแตนลีย์ยังระบุว่า ตลาดกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ทั้งในแง่ของอัตราดอกเบี้ยและทิศทางค่าเงิน โดยหลังจากปรับตัวผันผวนในกรอบกว้างตลอดสองปีที่ผ่านมา ขณะนี้ตลาดเริ่มเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง และเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (yield curve) จะชันขึ้นตามลำดับ
สัญญาณการอ่อนค่าของดอลลาร์เกิดขึ้นแล้วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนีดอลลาร์ลดลงเกือบ 10% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนก.พ. สาเหตุหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับแนวทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์ของสหรัฐฯ และทำให้เกิดการตั้งคำถามใหม่ต่อสถานะของดอลลาร์ในฐานะเงินสกุลหลักของโลก
บรรดานักกลยุทธ์จากสถาบันการเงินต่าง ๆ เริ่มแสดงความเห็นสอดคล้องกันมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มขาลงของดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มนักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส ก็แนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการถือครองดอลลาร์ และหันไปลงทุนในเงินเยน ยูโร และดอลลาร์ออสเตรเลียแทน
แม้กระแสคาดการณ์แนวโน้มอ่อนค่าของดอลลาร์จะเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) ชี้ว่า ตลาดยังไม่ได้อยู่ในภาวะขายดอลลาร์อย่างรุนแรงในระดับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ดอลลาร์สหรัฐ ยังอาจอ่อนค่าลงได้อีก
นอกจากค่าเงินแล้ว มอร์แกน สแตนลีย์ยังประเมินว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4% ภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะลดลงอย่างมากในปีหน้า เนื่องจากเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงรวม 1.75% เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขาลงที่แท้จริงของค่าดอลลาร์น่าจะยังคงไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะมีพ่อมดทางการเงิน อย่างจอร์จโซรอสหรือวอร์เรน บัฟเฟตต์มาบอกเสียก่อนว่า “ไอ้เสือถอย”
วิษณุ โชลิตกุล