
KKP ขาดทุนจากรถยึดดีขึ้น
หรือ KKP โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 1. สินเชื่อรายย่อย 68.32% 2. สินเชื่อธุรกิจ 15.45% (2.1 สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6.44%, 2.2 สินเชื่อธุรกิจ SME 9.01%)
คุณค่าบริษัท
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 1. สินเชื่อรายย่อย 68.32% 2. สินเชื่อธุรกิจ 15.45% (2.1 สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6.44%, 2.2 สินเชื่อธุรกิจ SME 9.01%) 3. สินเชื่อบรรษัท 14.25% 4. สินเชื่อสายบริหารหนี้ 0.33% 5. สินเชื่อ Lombard 1.77% ภายใต้สินเชื่อรายย่อย 68.32% จำแนกต่อได้เป็น 1. สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 44.83% 2. สินเชื่อบุคคล 3.56% 3. สินเชื่อ Micro SMEs 4.19% 4. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 15.74%
KKP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ลดลง 29.5% จากไตรมาส 1/2567 และลดลง 26.9% จากไตรมาส 4/2567 ที่มีกำไรสุทธิ 1,451 ล้านบาท กำไรไตรมาส 1 ต่ำกว่าคาดการณ์ของ บล.กสิกรไทย 6% และต่ำกว่าตลาดคาด 15% เนื่องจากอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ต่ำกว่าคาด 0.10% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (non-NII) ที่น้อยกว่าคาด 14% จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินฯ ที่ลดลง ขณะที่กำไรที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งเมื่อเทียบไตรมาส 1/2567 และเทียบไตรมาส 4/2567 เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่ลดลงจากทั้งสินเชื่อรวม และ NIM ที่ลดลง รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาส 4/2567 และ 81% จากไตรมาส 1/2567
NPL ratio อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าคาด 0.10% และเพิ่มขึ้น 0.20% จากไตรมาส 4/2567 และ 0.60% จากไตรมาส 1/2567 ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) เพิ่มขึ้นเป็น 1.21% เทียบกับ 0.99% ในไตรมาส 4/2567 และ 0.61% ในไตรมาส 1/2567 โดย NPL ratio เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อไมโคร SME, สินเชื่อเพื่อพัฒนาอสังหาฯ และสินเชื่อ SME ขณะที่ NPL ratio ของสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อธุรกิจทรงตัวในไตรมาส 1/2568 นอกจากนี้ ผลขาดทุนจากการขายรถถูกยึด ลดลง 36.9% จากไตรมาส 4/2567 และลดลง 51.9% เมื่อเทียบไตรมาส 1/2567 มาที่ 694 ล้านบาท ส่งผลให้ credit cost รวม และผลขาดทุนจากการขายรถถูกยึด ลดลงเหลือ 1.97% ในไตรมาส 1/2568 จาก 2.07% ในไตรมาส 1/2567 และ 2.18% ในไตรมาส 4/2567
ผู้บริหาร KKP มองว่าคุณภาพสินทรัพย์ของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องโดยเป็นผลมาจาก 1. จำนวนรถยนต์ยึดคืนในคลังลดลงเหลือประมาณ 2,500 คัน จากระดับสูงสุดที่ประมาณ 5,000-6,000 คัน และ 2. อัตราการขาดทุนจากการขายรถยนต์ยึดคืน ลดลงเหลือประมาณ 45% จากที่เคยสูงกว่า 50% ในปี 2567 บล.เมย์แบงก์ คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% จะช่วยเพิ่มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (loan spread) ปี 2568 ได้ราว 0.20% เนื่องจาก 60% ของพอร์ตสินเชื่อของ KKP เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่
ข้อมูลจาก LSEG Consensus สำหรับ KKP ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2568 ที่ 24,177.44 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 4,753.35 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 50.55 บาท จาก 14 โบรกเกอร์
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่าแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของ KKP จะโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567 จากฐานต่ำ ในปีก่อน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาส 1/2568 เนื่องจากการตั้งสำรองคาดจะผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังปรับชั้นลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงลงไปมากแล้ว ส่วนผลขาดทุนรถยึดยังเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปริมาณรถยึดของทั้งระบบน้อยลง แต่จะถูกหักล้างด้วยแนวโน้มรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิชะลอตัวลงต่อ เพราะสินเชื่อขยายตัวจำกัด และ NIM คาดจะปรับตัวลง ส่วนทั้งปี 2568 คาด KKP จะมีกำไรสุทธิ 5,044 ล้านบาท ทรงตัวจากปี 2567
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น KKP ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 30 พ.ค. 2568 ที่ 45.50 บาท) เทรดที่ P/E 8.21 เท่า สูงกว่า P/E กลุ่มธนาคาร ที่ 7.25 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น KKP อยู่ที่ 0.59 เท่า ต่ำกว่า P/BV กลุ่มธนาคาร ที่ 0.63 เท่า