“กรรณ์” มอง SET แกว่งตัวจำกัด พร้อมคัด 5 หุ้นเด่น รับปัจจัยบวกเฉพาะ

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา มอง SET เคลื่อนไหวในกรอบจำกัดที่ 1,250-1,300 จุดไปจนถึงสิ้นปี พร้อมคัด 5 หุ้นเด่น SCB-KKP-ADVANC-GULF-CPALL รับปัจจัยบวกเฉพาะ


นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ (Vice President) สายงานวิจัย (ลูกค้ารายย่อย) บริษัทหลักทรัพย์ CGS International (ประเทศไทย) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ (4 ธ.ค.68) ว่าภาพรวมตลาดคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดที่ 1,250 – 1,300 จุดไปจนถึงสิ้นปี โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ กำลังรอความชัดเจนของการเลือกตั้งและโฉมหน้าของรัฐบาลชุดใหม่ ตลาดหุ้นในปีหน้าถูกมองว่าจะแบ่งออกเป็นสองช่วง คือช่วงครึ่งปีแรกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และช่วงครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นหลังการเมืองมีความชัดเจน

ปัจจัยทางการเมืองถูกระบุว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดและมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจ โดยนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

คาดการณ์ว่าทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาไม่ดี และสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ในภาวะที่ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ ควรเน้นกลยุทธ์การเลือกลงทุนเป็นรายตัว (Stock Picking) โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจออกมาจะช่วยพยุงตลาดได้บ้าง และหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หากมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้า

หุ้น AOT ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลังราคาปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตามกระแสข่าวบวกล่าสุด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เริ่มประเมินสถานการณ์ด้วยมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น แม้ปัจจัยบวกหลายประการจะถูกสะท้อนในราคาไปแล้วระดับหนึ่ง

ปัจจัยบวกสำคัญที่หนุนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ได้แก่ การปรับปรุงเงื่อนไขสัญญาการันตีขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) กับผู้ประกอบการดิวตี้ฟรี King Power ทั้งในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งรวมถึงการปรับเกณฑ์ค่า PSC ที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนรายได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนและญี่ปุ่นที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเสริมบรรยากาศการลงทุนในหุ้นกลุ่มสนามบิน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ให้มุมมองที่เป็นบวกในระดับที่จำกัดเมื่อเทียบกับความคาดหวังของตลาด โดยประเมินว่าผลเชิงบวกจากการปรับเกณฑ์ PSC จะส่งผลต่อประมาณการกำไรราว 10% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3–4 บาทต่อหุ้น ซึ่งสะท้อนว่าตลาดอาจตีราคาเชิงบวกไปล่วงหน้าในระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่ยังต้องติดตามความชัดเจนของปริมาณผู้โดยสารและรายได้เชิงพาณิชย์ในช่วงถัดไป

กลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นแนะนำ มีดังนี้

ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ แนะนำ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB โดยพิจารณาจากการปรับตัวของราคาหุ้นที่ยังตามหลังธนาคารรายใหญ่รายอื่น เช่น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  KBANK และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ขณะที่ปัจจัยบวกหลายประการยังไม่สะท้อนในราคาเต็มที่ อีกทั้งยังคงมีอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจ และมีกระแสข่าวลือว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงเข้าซื้อสะสมเพิ่มเติม

สำหรับกลุ่มธนาคารขนาดกลาง แนะนำ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เนื่องจากผู้บริหารมีการรับมือความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ทันท่วงที และมีแรงสนับสนุนจากธุรกิจอื่น โดยเฉพาะธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ที่เข้ามาชดเชยรายได้

ในกลุ่มสื่อสาร แนะนำ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จากความแข็งแกร่งด้านส่วนแบ่งการตลาดที่โดดเด่นกว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และถือเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนในกลุ่มนี้

สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมาต่ำกว่า 40 บาท ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจ ขณะที่บรรยากาศการลงทุนยังถูกกดดันจากประเด็นค่าไฟและโครงสร้างราคาแก๊ส แต่ประเด็นดังกล่าวอาจเปิดโอกาสสำหรับการเข้าซื้อในจังหวะอ่อนตัว

ในกลุ่มค้าปลีก แนะนำ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ในฐานะหุ้นที่ควรมีไว้ในพอร์ตเพื่อตอบรับการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ โดยมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของกลุ่มค้าปลีกในช่วงการฟื้นตัวของกำลังซื้อ

Back to top button