
ลุ้นกำไรกลุ่มแบงก์
วานนี้ (6 ต.ค.) มูลค่าการซื้อขายยังคงอยู่กว่า 3.3 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับขายวันก่อนหน้านี้ที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาท บวก/ลบเล็กน้อย
วานนี้ (6 ต.ค.) มูลค่าการซื้อขายยังคงอยู่กว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับขายวันก่อนหน้านี้ที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลงมาอยู่ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาท บวก/ลบเล็กน้อย
มีเพียงเมื่อวันที่ 30 ก.ย.เท่านั้นที่วอลุ่มพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 4.9 หมื่นล้านบาท
หากย้อนกลับไปดูมูลค่าซื้อขายก่อนที่ดัชนีจะไต่ระดับขึ้นมาเรื่อย หรือจากระดับ 1,230 จุด แล้วขึ้นมายืนเหนือ 1,300 จุด ได้ประมาณ 2 วัน
มูลค่าซื้อขายในช่วงนั้น จะเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 5 หมื่นล้านบาท
และบางวันทะยานขึ้นมามากกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนดัชนีรอบล่าสุด ที่ปรับขึ้นมาในช่วงวันที่ 1-3 ต.ค. 68 แต่วอลุ่มเทรดไม่ได้เพิ่มขึ้นมาด้วย
ทำให้เกิดการวิเคราะห์หรือมองกันว่า ดัชนีที่ปรับขึ้นนั้น “ขาดความแข็งแรง”
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เพราะเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ดัชนีขึ้นมาแตะระดับ 1,300 จุด แต่ไม่สามารถที่จะยืนได้ จากการเผชิญกับแรงขายทำกำไร (ระยะสั้น)
ดัชนีที่วิ่งขึ้นมา
อาจจะคล้ายกับบางหุ้นที่ถูกดันราคาขึ้นมา ซึ่งจะเห็นว่า “มูลค่าซื้อขาย” จะโป่งพองตามขึ้นมาด้วย
แต่เมื่อราคาถูกดันขึ้นมาจน “เจ้ามือ” พอใจ หรือได้ตามเป้าหมาย เขาจะเริ่มค่อย ๆ รินหุ้นออก ซึ่งสังเกตได้จากกราฟที่ค่อย ๆ ปักหัวลง หรือ เจ้ามือบางรายอาจใช้วิธี “กระทืบ” ลงมาแบบแรง ๆ
ช่วงที่ราคาหุ้นปรับลง (หลังถูกลากขึ้น) ให้สังเกตดูว่าหุ้นตัวนั้น “หมดรอบ” หรือยัง โดยดูจากมูลค่าซื้อขายนั่นแหละ
หากมูลค่าซื้อขายลดลงตามมาด้วย
นั่นคือสัญญานที่บ่งบอกว่า ราคาของหุ้นนั้น ๆ ที่วิ่งขึ้นมาหมดรอบแล้ว
นักลงทุนคนไหนที่เข้ามาซื้อในช่วงราคาสูง ๆ จะ “ติดดอย” ตามระเบียบ และมีหนทางเดียวที่เป็นทางออกคือ “ขายตัดขาดทุน” แต่หากจะซื้อเพื่อถัวเฉลี่ย จะต้องใช้เงินในจำนวนที่มากกว่าต้นทุนเดิมหลายเท่าตัว เพื่อให้ต้นทุนลงมาใกล้เคียงกับราคาปัจจุบันให้มากสุด
ไม่เช่นนั้น ซื้อถัวไปมีแต่เงินจมเปล่า ๆ กระทั่งเงินสดหมด อดเทรด
ดัชนีหุ้นไทย ก็น่าจะอยู่ในภาวะแบบนี้ เพราะดัชนีที่วิ่งขึ้นมา มันมาแบบไม่มีวอลุ่ม (เทรด)
หากวันนี้ (7 ต.ค.) หุ้นไทยปรับลงอีก จะมีแนวรับหรือเป็นแนวรับที่ไม่ควรหลุดจะอยู่ที่ 1,278-1,275 จุด
หรือหากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่บริเวณเดิมคือ 1,270 จุด
ประมาณสัปดาห์หน้า หรือช่วงระหว่างวันที่ 14-21 ต.ค. 68 หุ้นในกลุ่มธนาคารจะแจ้งผลประกอบการกันออกมา เริ่มจาก บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชี่ยลกรุ๊ป (TISCO) แล้วตบท้ายด้วยหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ เช่น KTB SCB KBANK และ BBL
จากการคาดการร์ของนักวิเคราะห์หลายสำนัก
ภาพรวมกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มแบงก์อาจไม่ค่อยดีนัก
กำไรอาจจะปรับลดลงทั้งที่เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า
อย่างหลักทรัพย์บัวหลวง คาดกลุ่มแบงก์จะรายงานกำไรสุทธิรวมไตรมาส 3/2568 ประมาณ 54,311 ล้านบาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า
ปัจจัยหลักมาจาก ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) หดตัว และการตั้งสำรองหนี้สูญที่สูงขึ้น
“กรุงไทย” หรือ KTB เป็นเพียงแบงก์เดียวที่กำไรเพิ่มขึ้นโดดเด่น 28% (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
หากกลุ่มแบงก์รายงานกำไร (ลดลง) เป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ราคาหุ้นในกลุ่มแบงก์จึงยังไม่น่าจะปรับขึ้นได้ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า
เว้นแต่จะเล่นรอบตามกรอบราคาที่เป็น “แนวรับ” กับ “แนวต้าน” ของหุ้นนั้น ๆ
ล่าสุดดูกราฟ SET Bank ค่อย ๆ ปรับลงมาเรื่อย ๆ และมาอยู่บริเวณใกล้แนวรับ 418 จุด ซึ่งต้องมาลุ้นว่า อย่าหลุด ไม่เช่นนั้นอาจจะลงยาวรอบใหม่