
คุณธรรมทางภาษี
กรณีบุคคลธรรมดา มีรายได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เงินได้นั้น ได้รับการยกเว้นภาษี ตามข้อ 2(23) และ (75) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
กรณีบุคคลธรรมดา มีรายได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เงินได้นั้น ได้รับการยกเว้นภาษี ตามข้อ 2(23) และ (75) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
กฎกระทรวงฉบับที่ 126ฯ ตามข้อ 2(23) ระบุเงินได้ (ที่ได้รับการยกเว้นภาษี )จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตร
17 พฤศจิกายน 2568 ศาลฎีกาพิพากษากลับในคดีความแพ่งระหว่างดร.ทักษิณ ชินวัตร โจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากรและพวก จำเลย เรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น มูลค่า 73,271 ล้านบาท (เมื่อม.ค. 2549)
ก่อนหน้านี้ ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้ทักษิณชนะคดี ที่สรรพากรเรียกเก็บภาษีเป็นจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท และศาลอุทธรณ์ก็ยืนตามศาลชั้นต้น โดยระบุว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกนายทักษิณ ในฐานะผู้เสียภาษีหลัก ภายในกำหนดเวลา
ศาลฎีกาพิพากษากลับว่า โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบมจ.ชิน คอร์ปของตน โดยให้บุคคลอื่นรวมทั้งพานทองแท้-พินทองทา ชินวัตรถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกฎหมายห้ามโจทก์ถือหุ้นชินคอร์ป
อันเป็นวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีอากรได้อย่างถูกต้องและแน่นอน ตามเจตนารมณ์ฯ
ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง
กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลฎีกาพิจารณาตั้งแต่บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ ขายหุ้นชินคอร์ปราคา 1.00 บาท/หุ้นให้แก่พานทองแท้–พินทองทา ชินวัตร และในวันเดียวกันทายาททักษิณทั้งสอง นำหุ้นชินคอร์ปไปขายให้กลุ่มเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท
ศาลฎีกาพิจารณาว่าไม่มีเหตุผลอันใดที่แอมเพิล ริช จะยอมขายหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดถึง 40 เท่าพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่า รายได้พึงประเมินภาษีของสรรพากรเกิดขึ้นแล้ว
อีกทั้งการที่โจทก์ให้บุคคลอื่นรวมทั้งนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทนก็เป็นการกระทำที่ขาด “คุณธรรมทางภาษี”
นั่นจึงเป็นที่มาของศัพท์บัญญัติใหม่ ที่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานในคดีความทางภาษีอากรในวันข้างหน้า แม้จะมีข้อยกเว้นบุคคลธรรมดา ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องเสียภาษีอากรก็ตาม
คดีภาษีอากรดังกล่าว ก็มีความเกี่ยวเนื่องมาจากการเทขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กของสมาชิกในครอบครัวชินวัตร–ดามาพงศ์ จำนวนทั้งสิ้น 1,487,740,120 หุ้น สัดส่วนร้อยละ 49.6 ในราคา 49.25 บาท มูลค่ารวม 73,271.6 ล้านบาท เมื่อ 23 ม.ค. 49
26 ก.พ. 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง พิพากษายึดทรัพย์ทักษิณจำนวน 46,373 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลฯ เห็นว่า เกิดขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้รับประโยชน์จากการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือชินคอร์ป
โดยเฉพาะการแก้ไขพ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม เปิดทางให้ต่างชาติถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมไทยได้สูงถึง 49% จากเดิมไม่เกิน 25% ดีลขายหุ้นชินคอร์ป–เทมาเส็กจึงสำเร็จ
สิริรวม 2 คดี ทักษิณโดนยึดทรัพย์และจ่ายภาษีรวมทั้งสิ้น 69.973 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมโทษจำคุกในคดีต่าง ๆ อีกต่างหาก
ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในประวัติศาสตร์ที่ร่ำรวยที่สุด แต่ก็บอบช้ำมากที่สุด