ลุ้นสุดขีด! ALLA เปิดเทรดวันแรกทะลุ 4.40 บาทโบรกฯ ชี้ศักยภาพเติบโตสูงหนุนรายได้พุ่งกระฉูด

ลุ้นสุดขีด! ALLA เปิดตัวเทรดวันแรกทะลุ 4.40 บาท จากราคาขาย IPO ที่ 2.88 บ. ด้าน โบรกฯ ชี้รายได้มีศักยภาพเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก หนุนผลประกอบการโดยรวมโตแกร่ง


ลุ้นสุดขีด! ALLA เปิดตัวเทรดวันแรกทะลุ 4.40 บาท จากราคาขาย IPO ที่ 2.88 บ. ด้าน โบรกฯ ชี้รายได้มีศักยภาพเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก หนุนผลประกอบการโดยรวมโตแกร่ง

 

นายองอาจ ปัณฑุยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทออลล่า จำกัด (มหาชน) หรือ ALLA เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจหุ้นของบริษัทที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ย.) จะปรับตัวขึ้นเหนือราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ 2.88 บาท/หุ้น จากการที่บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคต ขณะที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายคลังสินค้าและโรงงาน ทำให้สามารถรองรับงานที่กำลังจะเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า

ทั้งนี้ การที่บริษัทนำเงินจากการระดมทุนไปลงทุนต่อยอดทำให้สามารถรับงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะสร้างผลประกอบการให้เติบโตขึ้นระยะยาว และมีผลตอบแทนที่ดี

โดยการเปิดจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีนักลงทุนจากทั่วประเทศได้ให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO เป็นจำนวนมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งสิ้น 150 ล้านหุ้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น คือ ความแข็งแกร่งของบริษัท และองค์ประกอบของบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์เป็นผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุอุปกรณ์ และสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้าต่างๆ ซึ่งขยายตัวตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่เติบโตอยู่ตลอดเวลา

“ALLA เป็นหุ้น IPO ที่มีความน่าสนใจ จากพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก วัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งเรายังมองเห็นถึงโอกาสในการขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าต่างๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อีกทั้งเราอยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า ผมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะไม่ทิ้งหุ้นอย่างแน่นอน ผมมั่นใจในตัวบริษัทอย่างมาก ตอนนี้หุ้นที่ยังถืออยู่ 75% ก็ยังอยู่ใน TSD”นายองอาจ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทคาดว่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อีกครั้ง เนื่องจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตและก่อสร้างงานต่างๆ จะมีมากขึ้นกว่าปีนี้ โดยเฉพาะงานการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและงานในกลุ่มปิโตรเคมี ที่จะมีออกมามากขึ้น โดยบริษัทจะหันไปรุกการประมูลและรับงานใน 2 กลุ่มนี้มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายรายได้ของธุรกิจ จากปัจจุบันบริษัทมีรายได้หลักมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง 23.5% กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก 21% และกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ 3.12%

อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานในการจำหน่ายเครนให้กับโครงการก่อสร้างโรงงานน้ำตาลของบริษัทน้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ส่วนงานในกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่าจะมีการประมูลเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละ 30-40 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทจะเข้าไปประมูลงานจำหน่ายเครนในส่วนของงานรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ โดยใช้บริษัทลูก ซึ่งคาดหวังจะได้รับงานในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีเขียวเพิ่มเติม

ส่วนการขยายงานไปยังต่างประเทศนั้นบริษัทได้เริ่มไปรับงานที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยเจาะไปที่กลุ่มลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์ก่อน เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศอินโดนีเซียเติบโตอย่างมาก ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการเข้าไปเริ่มต้น และจะเซ็นสัญญากับพันธมิตรในอินโดนีเซียในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ส่วนการขยายไปประเทศอื่นๆ นั้นยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่จะเน้นในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นหลัก

 

อนึ่ง ALLA ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ เครนและรอกไฟฟ้า โดยบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศไทยสำหรับเครนและรอกไฟฟ้ายี่ห้อ STAHL และ ABUS ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตเครนและรอกกันระเบิดมาตรฐานสากลจากประเทศเยอรมนี

รวมทั้งเป็นผู้จัดจำหน่ายสะพานปรับระดับประตูอุตสาหกรรม ม่านริ้วพีวีซีและม่านตัดอากาศ มีลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ โรงไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง และอาหาร เป็นต้น บริษัทยังให้บริการหลังการขาย และศูนย์ฝึกอบรมผู้ใช้เครนด้วย

 

โดย ALLA จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ในวันที่ 8 พ.ย.59 มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 450 ล้านหุ้น และหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และผู้มีอุปการคุณของ ALLA ในราคาหุ้นละ 2.88 บาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.-2 พ.ย. 2559 มีมูลค่าระดมทุนรวม 432 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1.73 พันล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทปี 58 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.62 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139.55 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/59 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีมีก่อนมีกำไรอยู่ที่ 11.79 ล้านบาท ด้าน 6 เดือนแรกของปี 59 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.89 ล้านบาท หรือลดลง 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรอยู่ที่ 46.45 ล้านบาท

 

ขณะที่ บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมาย ALLA ที่ 4.41 บาทสำหรับปี 60 โดยประเมินด้วยวิธี PER โดยใช้ Prospect PER ที่ระดับ 18 เท่าซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่อยู่ที่ระดับ 20 เท่า โดยคำนวณกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 60 ได้เท่ากับ 0.245 บาทต่อหุ้น

ขณะที่มองว่าโครงสร้างรายได้ในช่วงครึ่งแรกปี 59 ประกอบด้วยรายได้จากการขายเครนและรอกไฟฟ้า 61.70% รายได้จากการขายประตูอุตสาหกรรมและสะพานปรับระดับ 17% รายได้จากการขายม่านริ้วพีวีซีและม่านตัดอากาศ 1.5% และรายได้การให้บริการและรายได้อื่น 19.8%

ทั้งนี้ความต้องการใช้เครนและรอกไฟฟ้ามีศักยภาพในการเติบโตตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจค้าเหล็ก ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 59 โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีจำนวน เพิ่มขึ้นถึง 102%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นถึง 348% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยรายได้มีศักยภาพในการเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักประกอบกับหลังการระดมเพื่อใช้ขยายธุรกิจในการก่อสร้างคลังสินค้าทำให้สามารถเพิ่มปริมาณงานที่ให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งมีกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ค่าบริการช่วยหนุนผลประกอบการโดยรวมให้เติบโตตามไปด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 59 มีรายได้ 425 ล้านบาทลดลง 33% และมีกำไร 46 ล้านบาท ลดลง 44% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยประมาณการรายได้ปี 59 ราว 801 ล้านบาทหดตัว 8% ประมาณการกำไรอยู่ที่ราว 90 ล้านบาทลดลง 11% ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการของบริษัท

ทั้งนี้คาดว่ารายได้และกำไรในปี 60 จะพลิกฟื้น โดยรายได้เติบโต 37% หรือ 1,097 ล้านบาทและกำไรเติบโต 63% หรือ 147 ล้านบาท สำหรับปี 61 คาดการณ์รายได้จะอยู่ที่ราว 1,234 ล้านบาท เติบโต 13% และคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องราว 14% เป็น 168 ล้านบาท ตามลำดับ แสดงถึง CAGR ของกำไรระหว่างปี 59-61 อยู่ที่ราว 8%

 

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่ง เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่าราคาหุ้น ALLA เข้าซื้อขายในวันแรก (8 พ.ย.) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นถึง 4.40 บาท จากราคา IPO ที่ 2.88 บาท โดยคำนวณจากค่า P/E ที่ระดับ 20 เท่า และกำไรต่อหุ้นที่ 0.22 บาท ขณะที่ภาพรวมของตลาดในสัปดาห์นี้ยังปรับตัวขึ้นสูงจากปัจจัยบวกต่างประเทศ ด้านธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตตามการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านต่างๆ สูง

Back to top button