ได้เวลาเล่น! 6 หุ้นเด่นธนาคาร-ยานยนต์ชูอัพไซด์สูงวิ่งกระฉูดรับงานมอเตอร์โชว์

ได้เวลาเล่น! 6 หุ้นเด่นธนาคาร-ยานยนต์ ชูอัพไซด์สูงวิ่งกระฉูดรับงานมอเตอร์โชว์


เริ่มแล้วมหกรรมยานยนต์ หรือ MOTOR EXPO 2016 ครั้งที่ 33 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธ.ค.59 โดยกิจกรรมในงานมีการปรับให้เหมาะสม คุมเข้มเครื่องแต่งกายของพริตตี้ และยกเลิกกิจกรรมพริตตี้โหวต แต่ยังคงโปรโมชั่นคืนกำไรให้ผู้ชมงาน แจกรถยนต์ บิกไบค์ และรางวัลพิเศษ โดยคาดว่า ยอดจองรถยนต์ในงานน่าจะอยู่ที่ 50,000 คัน บิกไบค์ 3,000 คัน และผู้ชมงาน 1.5 ล้านคน เม็ดเงินสะพัดในงานกว่า 5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา

สำหรับค่ายรถที่ร่วมงานปีนี้มีจำนวน 36 ยี่ห้อ และรถจักรยานยนต์ 19 ยี่ห้อโดยรถยนต์จำนวน 36 ยี่ห้อ ได้แก่ ASTON MARTIN,AUDI,BMW, CARLSSON,CHANGAN,CHEVROLET,FORD,FOTON,HONDA,HYUNDAI,ISUZU,JAC,JAGUAR,JEEP,LAND ROVER,LEXUS,MAXUS, MAZDA,MERCEDES-BENZ,MG,MINI,MITSUBISHI,MOKE,NISSAN,PEUGEOT,PORSCHE,RAYTTLE,ROLLS-ROYCE,SUBARU, SUZUKI,SWIFT,TATA,THAINA,TOYOTA,VOLKSWAGEN และ VOLVO

ส่วนรถจักรยานยนต์ 19 ยี่ห้อ ได้แก่ BENELLI,BMW,DUCATI,GPX,HARLEY-DAVIDSON,HONDA,KAWASAKI,KEEWAY,KTM,PIAGGIO, ROYAL ENFIELD,RYUKA,SCOMADI,STALLIONS,SUZUKI,TRIUMPH,UDA,VESPA และYAMAHA

แน่นอนงานดังกล่าวไม่เพียงช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจในประเทศช่วงไฮซั่ซั่นคึกคักแล้ว ในส่วนตลาดหุ้นไทยก็ยังคึกคักด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนที่น่าจะได้ประโยชน์จากงานดังกล่าว เพราะหากมียอดคำสั่งซื้อรถยนต์เข้ามาตรงนี้ก็จะช่วยหนุนยอดการผลิตชิ้นส่วนมากขึ้นนั่นเอง

ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่มธนาคารก็น่าจะได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่คาดว่าจะเม็ดเงินสะพัดในงานกว่า 5 หมื่นล้านบาท ตรงนี้ก็น่าจะช่วยการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจรายวัน”จึงทำการสำรวจหุ้นยานยนต์-ชิ้นส่วน และกลุ่มธนาคารที่คาดว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดในงานนี้มานำเสนอนักลงทุน โดยหุ้นกลุ่มยานยนต์-ชิ้นส่วนที่เป็นดาวเด่นคือ AH,STANLY และ SAT ส่วนกลุ่มธนาคารที่เป็นดาวเด่นคือ TCAP,KKP และ TISCO

ทั้งนี้หุ้นเด่นทั้ง 6 ตัว ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจเนื่องจากหุ้นยังทำกำไรได้ดี ที่สำคัญราคาหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำให้ลงทุนหุ้นดังกล่าวเนื่องจากยังมีอัพไซด์สูงดังตารางประกอบ 

หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ราคาปิด ณ 30 พ.ย.59 ราคาเป้าหมาย  อัพไซด์
AH เออีซี  13.60 20.00 47.06
SAT โนมูระ พัฒนสิน 13.00 15.30 17.69
STANLY ฟิลลิป 174.50 202.00 15.76
TCAP โนมูระ พัฒนสิน 43.75 50.00 14.29
TISCO โนมูระ พัฒนสิน 54.00 61.00 12.96
KKP โนมูระ พัฒนสิน 55.50 61.00 9.91

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 33 จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ กลุ่มที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก อาทิ TCAP KKP TISCO  ได้ประโยชน์จากยอดปล่อยสินเชื่อทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์ในงานนี้ที่คาดว่าสูงกว่าปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันคงมุมมอง Bullish กลุ่มธนาคารสำหรับระยะยาว เนื่องจากจากคาดการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 60อย่างไรก็ตามในระยะสั้นคาดยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะมากระตุ้นราคา โดยในช่วงไตรมาส 1/60 ยังคงกังวลรายได้ยังโตต่ำ และที่สำคัญด้านการแก้ปัญหาNPL รวมถึงอาจมี lag time ในการตั้งสำรองในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และกลาง แต่คาดธนาคารที่เป็นกลมุ่ auto lender ทั้งKKP,TISCO และ TCAP จะไม่ประสบปัญหานี้ เนื่องจากNPL ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาตั้งแต่ช่วงปี 57-58

ยังคง TCAP (BUY, TP17F 50 บาท) เป็น Top pick เนื่องจาก i) ปัจจัยทางด้านพื้นฐานดีขึ้นจาก NPL ที่ลดลงต่อเนื่อง ในขณะที่ Coverage ratio ขึ้นมาที่ระดับใกล้เคียงกลุ่มธนาคารใหญ่ ii) พร้อมกับคาดสินเชื่อจะกลับมาเติบโตใน ปี 60) คาดกำไรสุทธิปี 60 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องที่ +9%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหลังจากคาดเติบโต +11% ในปี 59

 

บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก เช่น TISCO, KKP และ TCAP มีอัตราดิวิเดนด์ ยีลด์ที่โดดเด่นสุดในกลุ่มโดยอยู่ในระดับสูง 5.3-5.9% รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากตัวเลข NPL เริ่มมีการลดลง ซึ่งฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้ ประเมินว่าผลประกอบการของธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังเติบโตจำกัดในปี 59-60  โดย AH มีผลประกอบการดีขึ้นในช่วง 9 เดือนปี 59 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 71% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 400 ล้านบาทโดยมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมแต่ธุรกิจของบริษัทเองยังไม่ดีนัก

แนวโน้มไตรมาส 4/59 คาดว่ากำไรจะอ่อนลงเทียบไตรมาสก่อนหน้า(ไตรมาส 3/59 มีกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท) ในด้าน Valuation ค่า P/BV หุ้นต่ำที่ 0.7 เท่า (ณ สิ้นก.ย.59 มี BVS เท่ากับ 18.7 บาท/หุ้น มีหนี้สิน/ทุน 0.86 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี

ด้าน STANLY เป็นบริษัทที่มีการเงินมั่นคงมาก มีฐานะเป็นเงินสดสุทธิ ไม่มีหนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย โดยมีเงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น ณ สิ้นก.ย.59 สูงถึง 4,453 ล้านบาท คิดเป็น 57.8 บาท/หุ้น ด้าน BVS อยู่ที่ 165.5 บาท/หุ้น ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันที่ 175 บาท มี P/BV 1.06 เท่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี

ส่วน SAT แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/59 อ่อนลงเทียบไตรมาสก่อนหน้า เพราะยอดขายรถแทรกเตอร์ที่ชะลอลง และยอดขายรถยนต์ในประเทศซบเซา ส่วนภาพรวมทั้งปี 59 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเป็นเลขเหลักเดียวที่ประมาณ 7-9% ในด้าน Valuation ถือว่าค่อนข้างจูงใจ โดยซื้อขายที่ P/BV ที่ 1 เท่า (ณ สิ้นก.ย.59 มี BVS เท่ากับ 13.4 บาท/หุ้น โดยมีหนี้สิน/ทุน 0.6 เท่า) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี      

 

บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 59 จะยังไม่สดใสนัก แต่ทางฝ่ายเชื่อว่าจะทยอยดีขึ้นจากแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรบางชนิดที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐ ทางฝ่ายแนะนำ “ลงทุนมากกว่าปกติ” ในกลุ่มยานยนต์

โดยเลือก STANLY (ราคาพื้นฐานปี 60 ที่ 202 บาทต่อหุ้น อิง P/E 12 เท่า) เป็น Top Pick จากปริมาณงานใหม่ที่ทยอยเข้ามาต่อเนื่อง บวกกับประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งบริษัทยังไม่มีดอกเบี้ยจ่าย คาดจะช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีโอกาสขยายตัวโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่ม

 

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AH (BUY@TP20) เริ่มต้นแนะนำ “ซื้อ” ด้วยเหตุผล 1) เป็นหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่มี    กลยุทธ์เข้มข้นทั้งรุกและรับ อีกทั้งยังมีนโยบายบริหารด้วย TURBO Target ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรให้เติบโตอย่างมั่นคงและสดใสในระยะยาว 2) ช่วงปี 59-61 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 26.3% และ 3) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside สูง 50.4%

 

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button