พาราสาวะถี

ถึงขั้นต้องขุดสำนวนโบราณ ติเรือทั้งโกลนติโขนยังไม่ทรงเครื่อง มาตอบโต้ ธีรยุทธ บุญมี กันเลยทีเดียว สำหรับ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล หลังจากนักวิชาการ (เสื้อกั๊ก) คนดังออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว "วิเคราะห์อนาคตการเมืองและการปฏิรูปประเทศไทย วิพากษ์ แนะนำ วิธีคิด คสช.และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์"


พาราสาวะถี : อรชุน

 

ถึงขั้นต้องขุดสำนวนโบราณ ติเรือทั้งโกลนติโขนยังไม่ทรงเครื่อง มาตอบโต้ ธีรยุทธ บุญมี กันเลยทีเดียว สำหรับ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล หลังจากนักวิชาการ (เสื้อกั๊ก) คนดังออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว “วิเคราะห์อนาคตการเมืองและการปฏิรูปประเทศไทย วิพากษ์ แนะนำ วิธีคิด คสช.และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์”

โดยกระบอกเสียงรัฐบาลและรักษาการอธิบดีกรมกร๊วก แถลงข่าวออดอ้อน อยากให้ประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ได้ศึกษาวาระการปฏิรูปประเทศให้กระจ่างว่า มีรายละเอียดอย่างไร มีกิจกรรม ระยะเวลา กฎหมาย และหน่วยงานที่รับผิดชอบอะไรบ้าง หากสิ่งใดที่สามารถดำเนินการได้ รัฐบาลก็จะลงมือทำทันที

แน่นอนว่าผลสำเร็จอาจไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ แต่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จึงจะเห็นผลในวันหน้า ประเทศไทยสูญเสียโอกาสจากคำพูด แต่ไม่ได้ลงมือทำมามาก เช่นเดียวกับการตำหนิในสิ่งที่ยังไม่เห็นผล ก็ถูกที่อ้างเหตุผลเช่นนั้น แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด และดูเหมือนว่าไก่อูไม่ได้ดูเนื้อหาการวิพากษ์ของธีรยุทธอย่างรอบคอบ

นึกอยากจะตอบเอาแค่เฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์กับคณะรัฐบาลของตัวเองเท่านั้น เพราะบทสรุปของธีรยุทธก็ระบุไว้ชัดเจน ไม่ได้บอกว่าจะต้องรอดูในสิ่งที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติหรือการปฏิรูปที่ต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี แต่ประเมินว่า งานในระดับจัดระเบียบ ปัญหาพื้นผิวหรืองานเชิงเร่งรัดนโยบาย เช่น เรื่องรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า จะไม่ทำให้รัฐบาลได้รับความนิยมเพิ่มมากนัก

แต่งานในระดับโครงสร้างอำนาจหรือโครงสร้างรากฐาน เช่น การปราบคอร์รัปชั่น การเร่งรัดคดีคอร์รัปชั่นที่ค้างคา ที่รัฐเคยประกาศว่าจะจัดการให้เสร็จสิ้นตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วก็ยังไม่คืบหน้า แถมมีคดีใหม่ เช่น เชฟรอน รถยนต์ญี่ปุ่น เลี่ยงภาษี ปตท.ไม่ยอมคืนท่อแก๊ส การปราบปรามอิทธิพลนอกระบบที่รัฐประกาศจริงจังมานานแล้วก็ไม่คืบหน้า

งานในระดับนี้จึงจะดึงศรัทธาประชาชนกลับมาได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนอาจจะนึกถึงภาพรัฐบาล “ตู่ต้นเตี้ย” หรือ “ตู่เตี้ยลง” ก็มีโอกาสเป็นไปได้ก่อนจะจบตามโรดแมปของคสช. หากมองในมุมนี้เราก็จะเห็นภาพผ่านผลโพลในช่วงหลังมานี้ที่พบว่า คะแนนนิยมในรัฐบาลเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง คงไม่ต้องบอกว่าเพราะสาเหตุใด

ไม่เพียงเท่านั้น อาการขององคาพยพแม่น้ำ 5 สาย กรณี 7 สนช.ก็เป็นผลสะเทือนที่ทำให้เห็นว่า คนที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากอำนาจปลายกระบอกปืนนั้น ด้วยความที่ต้องนั่งถ่างขาหลายตำแหน่งโดยอ้างคำว่า “เสียสละ” แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำงานอย่างจริงจัง กลับไม่สามารถทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่า เงินที่รับกันไปหลายทางนั้นมันคุ้มค่าหรือเปล่า

เหล่านี้จะโทษใครไม่ได้ เหมือนที่ย้ำมาโดยตลอด ก่อนที่ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะแต่งตั้งใครก็ตาม เกิดคำถามจากสังคมกระตุกเตือนไว้ก่อนแล้ว คนเหล่านั้นจะทำงานได้เต็มที่หรือไม่ ซึ่งท่านผู้นำก็ตอบคำถามด้วยความหงุดหงิดหัวใจ ประมาณว่าคนดีเสียอย่างไม่มีทางเหลวไหล แล้วเป็นไงกรณี 7 สนช.เป็นเครื่องพิสูจน์ และหนึ่งในนั้นก็มีคนที่ตกเป็นข่าวฉาวอยู่บ่อยครั้งในฐานะน้องชายร่วมสายโลหิตของหัวหน้าคสช.

ตัดประเด็นหยุมหยิมเรื่องขี้หมา ไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าใครเป็นญาติใคร เอาแค่เนื้อหนังของผลงาน ต้องยอมรับความเป็นจริงกันว่า ถ้าเอาแต่หัวข้อว่าจะทำโน่นนี่นั่นมันมีเป็นกระบุง แต่เมื่อล้วงลึกลงไปแล้ว ผลสำเร็จที่เกิดขึ้น สิ่งที่คนทั่วไปสัมผัสจับต้องได้แทบจะกลายเป็นความว่างเปล่า ท่วงทำนองของแม่น้ำ 5 สายจึงไม่ต่างอะไรไปจากการแข่งกันเสนอหน้ายิ่งไปกว่าพวกนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวเสียอีก

ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ธีรยุทธ จะบอกว่าบุคลากรในแม่น้ำ 5 สายเกือบทั้งหมดมีความคิดแบบอนุรักษ์และจารีตนิยม มีผลงานที่ดีบ้าง แต่ยังไม่มีที่ให้ความหวังเรื่องการปฏิรูป แต่แสดงออกชัดเจนที่จะผลักให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในอำนาจต่อไป เพื่อตัวเองจะได้อยู่ในอำนาจต่อด้วย ดังนั้น จากเรือแป๊ะกับแม่น้ำ 5 สาย จึงเริ่มกลายเป็น “ยุทธ์เรือโยง ป้อมเรือพ่วง” ลากจูงกันไปทุลักทุเลมากขึ้น จนอาจจะเกยหาดหรือติดเกาะแก่งได้ถ้าฝืนอยู่ในอำนาจเกินโรดแมป

เกือบ 3 ปีจากการบริหารของคสช. ถือว่าประเทศไทยได้นายกฯคนใหม่ที่มีความสนุกสนาน ได้ความสบายใจ มีการจัดระเบียบ กำหนดนโยบายใหม่ แต่เชื่อว่าการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจจะไม่เกิดเพราะไม่อยากทำ รวมถึงการวางระบบและการบูรณาการต่างๆ ก็ไม่เห็นผล มนตร์ขลังจากการบริหารที่ประชาชนเห็นว่าทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเริ่มเสื่อม

ส่งผลให้ความมั่นใจในรัฐบาลเริ่มคลอนแคลน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนโครงสร้างทางประชาธิปไตยจากสถานการณ์นี้ เพราะขณะนี้อยู่ในสภาวะสั่นไหว คลอนแคลน ก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเสียคำพูดเรื่องโรดแมปให้มีการเลือกตั้ง และต้องพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาหลังการเลือกตั้งต่อไป สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ธีรยุทธเชื่อว่าหลังรัฐบาลคสช.หมดอำนาจปัญหาที่มีการแก้ไขหรือจัดระเบียบไปแล้ว 60-70 เปอร์เซ็นต์จะกลับมาเหมือนเดิม

คงไม่ต้องรอนานถึงขนาดนั้น แค่ในวันนี้มาตรา 44 ที่ใช้กับวัดพระธรรมกายก็ทำท่าว่าจะเสื่อมมนตร์ขลัง ขณะเดียวกันประกาศิตของหัวหน้าคสช.ที่คนขยาดกันมาตลอดช่วงเกือบ 3 ปี เวลาที่ผ่านไปดูว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เห็นได้จากกรณีคำสั่งวันที่ 3 มีนาคม 2558 ให้งดเว้นการเดินทางไปต่างประเทศของข้าราชการทุกหน่วยเพื่อประหยัดงบประมาณ

แต่มาจนถึงวันนี้ก็ยังมีเสียงวิจารณ์หนาหูเรื่องการละเลงงบดูงานต่างประเทศของส่วนราชการและองค์กรอิสระ ซึ่งข้อมูลล่าสุดของ วิลาศ จันทรพิทักษ์ มือตรวจสอบประจำพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นข้อมูลที่ท่านผู้นำต้องหยิบไปวิเคราะห์เพื่อสั่งการอย่างหนึ่งอย่างใด มีสององค์กรอิสระทำหนังสือถึงประเทศภูฏานให้ทำหนังสือเชิญไปดูงาน

แต่เขาตอบมาว่าไม่ต้องเชิญ พวกคุณก็ไปอยู่แล้ว จึงไม่ทราบว่าคนที่ทำหนังสือไปจะละอายบ้างหรือไม่ ตอนนี้แต่ละหน่วยงานพยายามจัดหลักสูตรพิเศษเพิ่มขึ้น ทำให้มีการวิ่งเต้นเพราะข้าราชการเรียนฟรี มีอีเวนต์ มีผลประโยชน์ จึงเพิ่มไปเรื่อย โดยเฉพาะบางกระทรวงจัดเกือบทุกกรม นี่กระมังที่เขาพูดกันอยู่เสมอที่ว่านักการเมืองน่าเกลียดนั้น ความจริงข้าราชการประจำต่างหากที่น่ากลัวกว่ามาก โดยเฉพาะพวกขี้ฉ้อ

Back to top button