COL กลับมาโฟกัสธุรกิจค้าปลีก หนุนกำไรเติบโตโดดเด่น

ทางด้าน บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL ดำเนินธุรกิจค้าปลีก ภายใต้ร้าน "บีทูเอส" และ "ออฟฟิศเมท" โดยมีสาขามากถึง 163 สาขาทั่วประเทศไทย รวมถึง 1 สาขาในเวียดนาม


คุณค่าบริษัท

ทางด้าน บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL ดำเนินธุรกิจค้าปลีก ภายใต้ร้าน “บีทูเอส” และ “ออฟฟิศเมท” โดยมีสาขามากถึง 163 สาขาทั่วประเทศไทย รวมถึง 1 สาขาในเวียดนาม

นับว่าธุรกิจของบริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันสูง เนื่องจากมีข้อได้เปรียบจากการที่มี supply chain ที่แข็งแกร่งของเครือเซ็นทรัลสนับสนุนอยู่

ส่วนการยุบธุรกิจออนไลน์ และการขายบริษัทย่อยสร้างปัจจัยบวกระยะสั้นและระยะยาว โดย เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา COL ได้ขายเงินลงทุนในบริษัท (Cenergy Innovation) ให้กับบริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS) โดยมูลค่าการซื้อขาย อยู่ที่ 22.72 ล้านบาท

โดยคาดกำไรจากการขายหน่วยลงทุนครั้งนี้ไว้ที่จำนวน 129 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกในช่วงไตรมาส 3 ปี 60 ตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท Cenergy Innovation และการริเริ่มธุรกิจออนไลน์ เมื่อปี 2558 COL ต้องแบกรับภาระผลการขาดทุนของบริษัทย่อย และธุรกิจออนไลน์ ที่ประมาณ 260 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจออฟฟิศเมท และบีทูเอสมีอัตราการเติบโตที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทที่จะกลับมาโฟกัสในธุรกิจหลักที่มีความถนัดอยู่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีข้อได้เปรียบในด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การสั่งซื้อผ่านหน้าร้าน ผ่านระบบ Call Center ไปจนถึงผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งยังไม่มีผู้ค้าปลีกรายอื่นในตลาดทำได้

อย่างไรก็ดีผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,996.99 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,788.70 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการขาย และรายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 74.54 ล้านบาท หรือ 0.23 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 60.20 ล้านบาท หรือ 0.19 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6,110.20 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,722.37 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 228.95 ล้านบาท หรือ 0.72 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 204.66 ล้านบาท หรือ 0.64 บาทต่อหุ้น

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี คาดกำไรสุทธิรวมทั้งหมดของปี 2560 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 554 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้น 44.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดกำไรสุทธิช่วงครึ่งหลังของปี 60 ที่ 325 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 81% จากงวดเดียวกันของปีก่อน, และเพิ่มขึ้น 42% จากครึ่งปีแรก) จะมาจากกำไรพิเศษจากการขายบริษัทย่อย และภาระค่าใช้จ่ายและผลขาดทุนของบริษัทย่อยที่จะหายไปประมาณ 109 ล้านบาท

ส่วนกำไรสุทธิ ณ สิ้นปี 2561 จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 673 ล้านบาท เติบโต 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก 1) ผลขาดทุนของธุรกิจ online และผลขาดทุนของบริษัทย่อย (Cenergy Innovation) หายไปเต็มปี คิดเป็นผลขาดทุนที่หายไปประมาณ 260 ล้านบาท และ 2) การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของธุรกิจทั้งในไทย และเวียดนามกว่า 21 สาขา พร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น ส่งผลให้เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นเฉพาะธุรกิจค้าปลีกเติบโตจาก 25.9% ในปี 2560 เป็น 26.1% ในปี 2561 โดย CAGR ประมาณการกำไรสุทธิปี 2561-2563 จะอยู่ที่ 8%

ทั้งนี้จึงเริ่มต้นให้คำแนะนำสำหรับ COL เป็น “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมสำหรับปี 2018 ที่ 63.0 บาท อิง P/E เฉลี่ยของกลุ่ม COMM ที่ 30.0 เท่า เนื่องจากมองว่า COL ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีก และจากบริษัทฯ มีแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ปรับโฟกัสมาที่ธุรกิจเดิมที่ถนัดอยู่แล้วหลังจากการขายธุรกิจที่ออนไลน์ไป

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท โฮลด์ โคลล์ จำกัด112,852,000 หุ้น 35.27%
  2. นายวรวุฒิ อุ่นใจ 29,323,700 หุ้น 9.16%
  3. นางณัฐธีรา บุญศรี 13,832,650 หุ้น 4.32%
  4. น.ส.สุกุลยา เอื้อวัฒนะสกุล 12,738,500 หุ้น 3.98%
  5. น.ส.เนตรอนงค์ จิราธิวัฒน์ 11,743,700 หุ้น 3.67%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายสหัส ตรีทิพยบุตร ประธานกรรมการ
  2. นายสหัส ตรีทิพยบุตร กรรมการอิสระ
  3. นายสหัส ตรีทิพยบุตร กรรมการตรวจสอบ
  4. นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการใหญ่
  5. นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการ

Back to top button