
BAY เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น TIDLOR ดันกำไรเพิ่ม
BAY โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 1. ธุรกิจขนาดใหญ่ 35% แบ่งเป็น 1.1 บรรษัทไทยและบรรษัทข้ามชาติ 25.28%
คุณค่าบริษัท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 1. ธุรกิจขนาดใหญ่ 35% แบ่งเป็น 1.1 บรรษัทไทยและบรรษัทข้ามชาติ 25.28% 1.2 บรรษัทญี่ปุ่น (JPC) 9.72% 2. ธุรกิจ SME 16% 3. สินเชื่อรายย่อย 49% แบ่งเป็น 3.1 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 20% 3.2 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 12% 3.3 สินเชื่อบัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล และอื่น ๆ 12% 3.4 สินเชื่ออาเซียน 5% (สินเชื่อรายใหญ่+สินเชื่อ SME รวม 51%, สินเชื่อรายย่อย 49%)
BAY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิ 8,782.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.48% จากไตรมาส 3/2567 และขยายตัว 5.88% จากไตรมาส 2/2568 ที่มีกำไรสุทธิ 8,295.37 ล้านบาท กำไรสุทธิไตรมาส 3 สูงกว่าประมาณการของ บล.กสิกรไทย 9% และสูงกว่าคาดการณ์ของตลาด 17% สาเหตุหลักจากกําไรพิเศษครั้งเดียวจากการประเมินมูลค่าการลงทุนใน TIDLOR จํานวน 2.8 พันล้านบาทในไตรมาส 3/2568 เนื่องจาก BAY เข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 16.33% ใน TIDLOR ทําให้สัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นเป็น 46.51% จาก 30.18% ในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้สินเชื่อรวม และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากการรวมสินเชื่อ และรายได้ดอกเบี้ยของ TIDLOR เข้ามา
กําไรก่อนตั้งสํารอง (PPOP) อยู่ที่ 1.63 หมื่นล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาส 2/2568 และ 13% จากไตรมาส 3/2567 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดําเนินงาน (Opex) ที่เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 2/2568 และ 24% จากไตรมาส 3/2567 จากบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าความนิยมบริษัทย่อยในต่างประเทศจํานวน 2.58 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายพนักงาน 1.12 พันล้านบาท ส่งผลให้กำไรก่อนตั้งสำรองในไตรมาสนี้ต่ำกว่าที่ บล.กสิกรไทยคาดไว้ราว 7% ทั้งนี้ สินเชื่อรวมไตรมาส 3/2568 เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาส 2/2568 จากการรวมสินเชื่อของ TIDLOR ขณะที่สินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อ SME ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 2/2568
แม้ว่า NPL รวมในไตรมาส 3/2568 จะเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 2/2568 และ 3% จากไตรมาส 3/2567 แต่ NPL ratio ลดลงเหลือ 4.0% จาก 4.1% เนื่องจากการรวมพอร์ตสินเชื่อของ TIDLOR ซึ่งมี NPL ratio ต่ำกว่า รวมถึง NPL ratio ของสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อในกลุ่มอาเซียนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม NPL ratio ของสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 8.8% และ 7.9% ในไตรมาส 3/2568 จาก 8.2% และ 7.4% ในไตรมาส 2/2568 ตามลําดับ บล.กสิกรไทยมองว่ามูลค่าหุ้น BAY ในปัจจุบันถูก แต่คาดว่าหุ้นจะขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ต่ำกว่าคู่แข่ง และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในกลุ่มสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงกดดันอยู่
ข้อมูลจาก IAA Consensus สำหรับ BAY ระบุว่า ประมาณการกำไรสุทธิของปี 2568 ที่ 29,773.86 ล้านบาท และของปี 2569 ที่ 30,621.09 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 24.57 บาท จาก 3 โบรกเกอร์
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ของ BAY ขึ้นเป็น 3.2 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดไว้ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% จากปี 2567 และปรับเพิ่มประมาณการเงินปันผลขึ้นเป็น 0.85 บาท/หุ้น จากเดิมคาดไว้ที่ 0.80 บาท/หุ้น และยังปรับเพิ่มราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 28 บาท เหลือส่วนต่างเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น BAY ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 2 ธ.ค. 2568 ที่ 24.20 บาท) เทรดที่ P/E 5.76 เท่า ต่ำกว่า P/E กลุ่มธนาคาร ที่ 8.07 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น BAY อยู่ที่ 0.44 เท่า ต่ำกว่า P/BV กลุ่มธนาคาร ที่ 0.73 เท่า

