ผวา GL เงินไม่พอจ่ายหนี้ จับตา! ถึงขั้นสูญ “ธุรกิจจริง” ในอินโดฯ

"เจทรัสต์" ขีดเส้นตาย GL สิ้นเดือน พ.ย.นี้ ระบุชัดต้องได้ข้อสรุปจะเลือกทางใด? จับตาผู้ถือหุ้นผวา เหตุเงินสดร่อยหรอเทียบกับหนี้มหาศาล อาจถึงขั้นล้มละลาย มีโอกาสเสีย "ธุรกิจจริง" ในอินโดฯ (ไม่ใช่ธุรกิจปล่อยสินเชื่อตีโป่งกำไรเกี) หลังนายใหญ่ยุ่นส่งสัญญาณจ่อยกเลิก "สัญญาร่วมลงทุน" แถมกรณีเลวร้ายสุดถึงขั้นฉุดหนี้ก้อนอื่นถึงกำหนดชำระทันที คล้ายหุ้นหลายตัวก่อนหน้านี้


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2560 บริษัท J Trust Co., Ltd. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ได้ออกแถลงการณ์ถึงแนวทางการแก้ไขจัดการปัญหาผูกพัน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเทศไทย มีการกล่าวโทษทางอาญาอดีตผู้บริหาร GL ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งเบื้องต้นมีการกำหนดสถานการณ์สมมติแบ่งออกเป็น 3 กรณี

เบื้องต้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในสามกรณีที่เป็นประเด็นถูกพูดถึงมากที่สุดขณะนี้ คือ กรณีที่ 1 ซึ่งเป็นกรณีหากว่า GL เลือกที่จะคงไว้ซึ่งโครงสร้างการบริหาร และโครงสร้างการถือหุ้น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งกรณีนี้ทาง J Trust จะดำเนินการยุติสัญญาการร่วมลงทุนของ GL ใน PT Group Lease Finance Indonesia หรือ GLFI และจะทำการครอบครองในฐานะบริษัทย่อยของบริษัทฯแต่เพียงผู้เดียว

อนึ่ง J Trust มีการลงทุนร่วมกับ GL ในบริษัทดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนการถือครองหุ้นราว 20% ผ่านบริษัทย่อยของตนในประเทศสิงคโปร์คือ Jtrust Asia Pte. Ltd.

ขณะเดียวกัน J Trust ระบุชัดเจนว่า บริษัทฯจะดำเนินการขายหุ้น GL ทิ้งทั้งจำนวนที่ถือครองอยู่ราว 122.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.01% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด อีกทั้งจะดำเนินการยกเลิกสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกโดย GL โดยจะนำมาซึ่งการเรียกไถ่ถอนหุ้นกู้คืนก่อนกำหนด และการเรียกชำระเงินคืนด้วยการฟ้องล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการ ตามลำดับ

ทั้งนี้ มีการระบุด้วยว่า J Trust อาจดำเนินการฟ้องร้องกรรมการและผู้บริหาร GL รวมถึงผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของบริษัท ซึ่งกรณีนี้คือ บริษัท สำนักงาน อีวาย จำกัด ต่อมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย

ล่าสุด วานนี้ (16 พ.ย.) GL มีการชี้แจงเกี่ยวกับแถลงการณ์ของ J Trust ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยระบุว่า บริษัทผู้ถือหุ้นใหญ่และเจ้าหนี้ใหญ่สุดรายนี้ไม่ได้มีการเจรจาติดต่อกับบริษัทฯเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยในแถลงการณ์มีการระบุถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้หลายทาง รวมถึงเรื่องการผิดสัญญาของบริษัทฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสัญญาเพิ่มเติม

พร้อมทั้งระบุว่า “มีความยินดีที่จะเจรจาหารือในข้อตกลงที่เป็นไปได้ต่างๆ กับ J Trust และหากมีการบรรลุข้อตกลงใดๆ บริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณะทราบต่อไป”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตถึงการที่ GL ได้ระบุเกี่ยวกับ “การผิดสัญญา และอยู่ระหว่างการตรวจสอบสัญญาเพิ่มเติม” ว่าเป็นการหมายถึงกรณีที่นายมิทซึจิ โคโนชิตะ อดีตผู้บริหาร GL ถูกก.ล.ต.ไทยกล่าวโทษทางอาญา ส่งผลให้เกิดการละเมิดเงื่อนไขที่ผู้ออกตราสารหนี้จะต้องปฏิบัติตาม หรืองดเว้นการปฏิบัติตลอดอายุของตราสารหนี้ (Bond Covenants) หรือไม่ ซึ่งโดยปกติผู้ซื้อตราสารฯสามารถยกเลิกสัญญาและฟ้องบังคับเพื่อเรียกชำระหนี้คืนเต็มจำนวนได้ในทันที

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่า มูลหนี้ที่ GL มีภาระต้องชำระคืนแก่ J Trust อยู่ที่ 180 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6 พันล้านบาท โดยไม่รวมในส่วนของดอกเบี้ยที่อัตรา 5% ต่อปี ซึ่งหากมีการละเมิด Bond Covenants เกิดขึ้นจริงและ J Trust ในฐานะเจ้าหนี้ตัดสินใจยกเลิกสัญญา พร้อมกับเรียกให้ GL ชำระหนี้คืนในทันที อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของ GL อย่างรุนแรง

โดยการตรวจสอบสถานะทางการเงินของ GL สิ้นสุดไตรมาส 3/2560 งวดสิ้นสุด 30 ก.ย. 2560 พบว่า บริษัทฯมี เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด มูลค่าราว 3.73 พันล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ามูลหนี้จากการออกหุ้นกู้แปลงสภาพที่ต้องชำระคืนให้แก่ J Trust อยู่ถึงราว 2.27 พันล้านบาท ขณะที่นอกเหนือจากนี้ GL ยังมีภาระหนี้จากการออกหุ้นกู้แปลงสภาพให้แก่ Creation Investments Sri Lanka LLC อีกจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 660 ล้านบาท

ปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การพิพาททางสัญญาที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้วระหว่าง J Trust และ GL จะส่งผลให้เกิดการผิดสัญญาไขว้ (Cross Default Clause) กับทาง Creation Investments ซึ่งจะเป็นปัจจัยทางกฎหมายบังคับให้ GL ต้องมีภาระชำระหนี้เพิ่มเติมขึ้นมาในทันทีด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่ J Trust ได้ระบุถึง “การครอบครองกิจการ GLFI ทั้งหมดแต่ผู้เดียว” ว่า เป็นการส่งสัญญาณถึงการฟ้องบังคับหนี้ด้วยหรือไม่ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ GL มีเงินสดไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้คืนแก่ J Trust อาจเพียงพอต่อการเป็นเหตุผลให้ GL มีความจำเป็นต้องชำระหนี้ที่เหลือด้วยหุ้นที่ตนถือครองอยู่ใน GLFI ราว 65% ซึ่งจะถือเป็นการบังคับให้ GL ต้องรับสภาพการสูญเสียความเป็นเจ้าของ GLFI หรือเท่ากับ GL จะไม่มีธุรกิจเหลืออยู่ในประเทศอินโดนีเซียอีกต่อไป

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายโนบูโยชิ ฟูจิซาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร J Trust ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณะที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการพูดถึงสถานการณ์ของ GL เป็นหนึ่งในประเด็นหลักด้วย โดยในบางช่วงของการแถลงข่าว นายโนบูโยชิ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า บริษัทฯจะเข้าดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียต่อไปโดยไม่มีความร่วมมือจากทาง GL หากไม่สามารถเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงกับทาง GL ในทิศทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายได้

“J Trust จะดำเนินการเพื่อให้เกิดข้อสรุปต่อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ได้ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งนั่นหมายถึง GL คงมีข้อสรุปแล้วว่าจะเลือกใช้แนวทางใดของ J Trust” นายโนบูโยชิ กล่าว

ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าว จึงอาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาหุ้น GL ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง 2 วันติด หรือปรับตัวลง 14.7% นับตั้งแต่ราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 15 พ.ย.60 อยู่ที่ระดับ 9 บาท ขณะที่วันนี้ (17 พ.ย.60) ล่าสุด ณ เวลา 15.42 น. อยู่ที่ 7.85 บาท ลบ 0.75 บาท หรือ 8.72% สูงสุดที่ 8.65 บาท ต่ำสุดที่ 7.80 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 75.75 ล้านบาท

Back to top button