PTG กินข้าวทีละคำ

ปี 2559 เป็นปีที่ราคาหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG วิ่งแรงระเบิดระเบ้อเหนือ 30 บาท สวนทางกับราคาน้ำมันที่เป็นช่วงเวลาขาลงแรง แต่ปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้สวยหรูว่าจะมากกว่า 1 แสนล้านบาท จากความพยายามลดความเสี่ยงทางธุรกิจลง จากการกระจายธุรกิจหลากหลายตามแผน “คั้นมะนาว” เพื่อสร้างอัตรากำไรสุทธิที่เคยขี้เหร่ให้กลับมาสวยงามครั้งใหม่... ราคาหุ้นกลับวิ่งสวนทางลงแบบซึมยาว ... ปรับฐานน่าเกลียดลงมาแถวๆ 20.00 บาท เรียกว่าลดลงมากว่า 30% 


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

ปี 2559 เป็นปีที่ราคาหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG วิ่งแรงระเบิดระเบ้อเหนือ 30 บาท สวนทางกับราคาน้ำมันที่เป็นช่วงเวลาขาลงแรง แต่ปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้สวยหรูว่าจะมากกว่า 1 แสนล้านบาท จากความพยายามลดความเสี่ยงทางธุรกิจลง จากการกระจายธุรกิจหลากหลายตามแผน “คั้นมะนาว” เพื่อสร้างอัตรากำไรสุทธิที่เคยขี้เหร่ให้กลับมาสวยงามครั้งใหม่… ราคาหุ้นกลับวิ่งสวนทางลงแบบซึมยาว … ปรับฐานน่าเกลียดลงมาแถวๆ 20.00 บาท เรียกว่าลดลงมากว่า 30%

มองทางบวกก็ว่า ดี….ลงมาให้ซื้อ เก็บของดีราคาไม่แพง มองทางลบ… เฮ้อ อย่าให้พูดดีฝ่า

คำอธิบายอย่างกลางก็บอกว่าเหตุของราคาที่ตกลงมาชนิดซึมยาว เพราะ เป้ารายได้ที่จะแตะ 1 แสนล้านบาท คงไม่เกิดขึ้น แม้ว่าตลอด 9 เดือนจะทำได้ดีกว่าปีก่อน เพราะมีรายได้ 62,232.75 ล้านบาท เกือบเท่าตลอดปีที่ผ่านมาทั้งปีที่ทำได้ 64,926.54 ล้านบาท

ขยันสร้างรายได้อย่างนี้ สิ้นไตรมาสสี่ มีโอกาสได้เห็นรายได้ทั้งปีเหนือกว่า 90,000 ล้านบาทแน่นอน นี่เป็นข้อดี … แต่ก็มีข้อเสียอื่นอีกเพราะอัตรากำไรสุทธิที่ย่ำแย่ลงเหลือแค่ 1.08% แถมค่าดี/อี ที่เพิ่มมากขึ้น … สะท้อนว่าการลงทุนเพื่อ “คั้นมะนาว” ให้ผลตอบแทนช้ากว่าที่คาด โดยเฉพาะธุรกิจนอนออยล์ทั้งหลายอย่างร้านอาหาร ค้าปลีก หรือกาแฟ

เพียงแต่ข้อดีก็ยังไม่หายไปไหน … ราคาหุ้นล่าสุดที่ระดับ 21.50 บาท ทำให้ค่าพี/อีเหลือแค่ 36.6 เท่า ต่ำสุดในรอบ 3 ปีแล้ว… ประคองความคาดหวังบรรดาแมงเม่าที่เชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย เป้าหมายที่ เสี่ยนั้ง…นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เคยประกาศเอาไว้ว่า “กำไรสุทธิภายในปี 2561 PTG จะมีกำไรจากธุรกิจน้ำมัน 60-70% และธุรกิจนอนออยล์ 30-40%” เป็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยเราจะเดินหน้าทำงานด้วย “แปดธุรกิจหลัก” ตามยุทธศาสตร์ “ปลาหมึกยักษ์” ที่วางเอาไว้

8 ธุรกิจที่ว่า ประกอบด้วย….1.ธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมัน PT 2.ธุรกิจสถานีบริการแก๊สหุงต้ม (LPG) 3.ธุรกิจพลังงานทดแทน 4.ธุรกิจมินิมาร์ท 5.ธุรกิจร้านกาแฟ 6.ธุรกิจขนส่ง 7.ธุรกิจน้ำมันเครื่อง และ 8.ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์

เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจว่า ปี 2561 การลงทุนที่สำคัญซึ่ง PTG ทำการปลุกปล้ำ… เอ๊ย ขอโทษ…ปลุกปั้น … มานานกว่าสามปี จะเริ่มให้ผลตอบแทนเป็นรูปธรรมเสียที.. ไม่มีเสียของ… การประกาศข่าวความคืบหน้าของปาล์มคอมเพล็กซ์จึงได้เผยแพร่ออกมาก่อนสิ้นปี ให้นักลงทุนใจชื้นว่า ไม่ต้องนานเกินรอโครงการลงทุน “ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์” ของ PTG ไม่ใช่ของใหม่ เพราะ PTG เคยประกาศมาโดยตลอดว่า บริษัทจับมือกับพันธมิตร 2 ราย นั่นคือ บริษัท ท่าฉางอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ประกอบการโรงหีบ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และบริษัท อาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด สัดส่วนการถือหุ้น 50% และ10% ตามลำดับ ส่วน PTG จะถือหุ้น 40% เพื่อดำเนินการ “โครงการอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย” ณ อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บนพื้นที่ 1,000 ไร่ รวมมูลค่าการลงทุน 4.8 พันล้านบาท

เป้าหมายของการลงทุน PTG คือ ต้องการขึ้นแท่นผู้ประกอบการครบวงจรการผลิตที่มีตั้งแต่ “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” โดยภายในคอมแพล็กซ์ของเราจะมีทั้งโรงงานหีบปาล์ม โรงงานในการผลิตน้ำมันดิบ และโรงงานกลั่นน้ำมันไบโอดีเซล B100 ปัจจุบันน้ำมันไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลระดับ 6.5-7%

ภายในคอมเพล็กซ์ยังมีโรงกลั่นน้ำมันที่สามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำมันพืช เพื่อใช้ในการบริโภค (ขายปลีก) … แถมยังมีโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ที่ใช้ประโยชน์จากกากปาล์ม และลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมกันไป

โครงการดังกล่าวมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 13% … ซึ่งเจ้าหนี้อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไม่รีรอสนับสนุนปล่อยกู้ในโครงการดังกล่าวจำนวน 3,300 ล้านบาท….โดยเริ่มก่อสร้างไปเมื่อต้นปี 2558 โดยจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งคอมเพล็กซ์ในปีนี้ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตน้ำมันปาล์ม เพื่อการบริโภค 200 ตันต่อวัน หรือ 2 แสนลิตรต่อวัน และบี 100 กำลังผลิต 4.5 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณปีละ 7.5 พันล้านบาท

รายได้ส่วนดังกล่าว หากคิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับรายได้รวมของ PTG….ไม่เยอะ… แต่อัตรากำไรสุทธิสวยแน่นอน

ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา เสี่ยนั้ง จัดการแถลงข่าวใหญ่ว่า “ปาล์มคอมเพล็กซ์” ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว กำลังอยู่ในระหว่างการทำ Pre-commissioning กระบวนการผลิตไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค สำหรับทดสอบกระบวนการผลิต โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 เพื่อผลิตไบโอดีเซล 450,000 ลิตรต่อวัน และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค 200,000 ลิตรต่อวัน

อย่างแรกขายส่งให้ปั๊มน้ำมันของ PTG อย่างหลังขายส่งให้เจ้าของแบรนด์อื่น และขายเอง… ไม่ต้องกลัวของเหลือ

จุดเริ่มต้นปีแรกของปาล์มคอมเพล็กซ์ ถือว่าน่าจะไปได้สวยเพราะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี … หากคิดรวมเข้าจาก 40% เท่ากับ PTG จะได้รับรู้รายได้ปีละ ขั้นต่ำ 2,300-2,700 ล้านบาท

เมื่อปาล์มคอมเพล็กซ์ ผลิดอกออกผล จึงไม่แปลกที่จะทำให้ความเชื่อมั่นว่า แผนตั้งเป้ารายได้ปี 2560 ที่อาจจะไม่ถึงเป้า จะสามารถบรรลุได้ในปี 2561 แน่นอน… เชื่อกันบ้างสิ

เหตุผลหลักมาจากธุรกิจปั๊มน้ำมันที่ไม่มีคำว่าหยุดโต คาดว่าปริมาณการขายจะเติบโต 20% จากระดับ 3,400 ล้านลิตรในปีนี้ โดยมีแผนจะขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มอีก 300 แห่ง เป็น 2,000 แห่ง จากปีนี้ที่กว่า 1,700 แห่ง และมีจำนวนสมาชิกบัตร PT Max Card เพิ่มเป็น 9.6 ล้านสมาชิก จากระดับ 7.4 ล้านสมาชิกในปีนี้

รายได้ที่จะโตเด่นนี้ ส่วนหนึ่งยังจะมาจากการตั้งงบลงทุนในปีหน้าของ PTG อีกราว 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,500 ล้านบาท, ธุรกิจ Non-oil ประมาณ 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,000 ล้านบาท เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์กรในระยะยาว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมลงทุน ในธุรกิจอาหารและบริการ 2-3 ดีล มูลค่าการลงทุนราว 200 ล้านบาท/ดีล ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 1/61

ถ้าแผนธุรกิจชนิด “กินข้าวทีละคำ” ของ PTG ของเสี่ยนั้ง บรรลุได้… ความฝันว่าภายในปี 2565 สัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ non-oil จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปีนี้คาดจะอยู่ที่ 10% ทำให้อัตรากำไรสุทธิจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเบื้องต้นคาด ปี 2561 จะอยู่ที่ราว 2.5-2.6% และหลังจากนั้นจะมีการเติบโตปีละ 0.2-0.3%

เปิดหมดเปลือกอย่างนี้ … นักลงทุนจะเห็นเสน่ห์บ้างรึยัง … ถามหน่อยสิ

อิ อิ อิ

Back to top button