TCAP โชว์งบฯ หรูท้ายปี! ลุ้นกำไร Q4 โตแตะ 1.9 พันลบ. รับยอดสินเชื่อพุ่ง

TCAP โชว์งบฯ หรูท้ายปี! ลุ้นกำไร Q4 โตแตะ 1.9 พันลบ. รับยอดสินเชื่อพุ่ง-ตั้งสำรองลดลง-บุ๊ครายได้จากการขายหุ้น MBK ในส่วนที่เหลือจากไตรมาส 3/60


ในช่วงระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.60 บจ.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธนาคาร ทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 และปี 60 โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ม.ค.61 ที่ผ่านมา บริษัท

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ของบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP โดยพบว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ TCAP เตรียมประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 และปี 60 ในวันที่ 18 ม.ค.61

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/60 ของ TCAP จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งทั้งเทียบจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในหุ้นบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ต่อเนื่องจากไตรมาส 3/60 รวมทั้งมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หลังช่วงปลายมีได้รับปัจจัยบวกจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในงาน Motor Expo และคาดว่าจะมีการตั้งสำรองหนี้ลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน

ด้านราคาหุ้น TCAP ปิดตลาดวานนี้ (15 ม.ค.) อยู่ที่ 59 บาท ลบ 0.75 บาท หรือ 1.26% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 463.71 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 63.50 บาท อยู่ 8%

โดย นักวิเคราะห์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัปดาห์แห่งการเริ่มต้นประกาศงบปี 60 ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดย Bloombeg Consensus คาดการณ์ผลประกอบการรายปี 60 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ข้างต้นที่ 1.6 แสนล้านบาทลดลง 6% เทียบจากปี 59 ที่ 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแรงกดดันจาก KTB ที่มีการตั้งสำรองเยอะในช่วงไตรมาส 2/60 และไตรมาส 3/60 ซึ่งหากตัด KTB ออกจะทำให้กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยรวมลดลงเล็กน้อยเพียง 2% เทียบจากปีก่อน

อย่างไรก็ตามจากสัญญาณภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้นคาดหวังต่อผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะเติบโตดีขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้มองตัวที่น่าสนใจในการเก็งผลประกอบการในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเป็น TCAP เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตทั้งเทียบจากไตรมาสก่อนและเทียบจากปีก่อน รวมถึงงบปี โดย TCAP มีผลประกอบการไตรมาส 4/60 เติบโต 6.2% จากไตรมาสก่อน และโต 12% เทียบจากปีก่อน และงบปี 60 เติบโตที่ 15.8% เทียบจากปีก่อน

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” TCAP ให้ราคาเป้าหมาย 63.50 บาทต่อหุ้น โดยปรับสมมติฐานการเติบโตระยะยาวขึ้นเป็น 6% ตามกลุ่มทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2561 ที่ 63.50 บาท อิง PBV 1.15 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายกันในระดับ Forward PBV 1 เท่ายังเป็นระดับที่ค่อนข้างถูก

ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 4/60 ที่ 1,940 ล้านบาท ดีขึ้น 8% เทียบจากไตรมาสก่อนและ 15% เทียบจากปีก่อน โดยแรงหนุนสำคัญมาจากกำไรจากการขายเงินลงทุน เนื่องจากทั้งทุนธนชาตและธนาคารธนชาตได้มีการขายหุ้น MBK ในช่วง 28 ก.ย. 60 – 9 ต.ค. 60 ที่ผ่านมา

ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิคาดว่าจะได้อานิสงส์จากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในช่วงปลายปี เนื่องจากมีงาน Motor Expo นอกจากนี้คาดว่าจะเห็นค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ลดลงเทียบจากไตรมาสก่อน ตามแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามอาจเห็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นบ้างตามฤดูกาล

สำหรับแนวโน้มในปี 61 อาจเห็นภาษีจ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีที่เหลืออยู่น้อยกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามด้วยแนวโน้มสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโต บวกกับค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้คาดกำไรยังเติบโตต่อเนื่องได้ โดยคาดกำไรสุทธิสำหรับปี 61 ที่ 7,220 ล้านบาท เติบโตราว 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “Outperform” TCAP ราคาเป้าหมาย 64 บาทต่อหุ้น จากเดิม 58.25 บาทต่อหุ้นาดว่ากำไรสุทธิของ TCAP ในไตรมาส 4/60 อยู่ที่ประมาณ 1.9 พันล้านบาท (โต 7% เทียบจากไตรมาสก่อน และ โต 13% เทียบจากปีก่อน)

ทั้งนี้กำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจะเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อใหม่ ซึ่งจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากการค้าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากการขายหุ้น MBK และการลงทุนรายการอื่นๆ ออกไป รวมถึงรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และธุรกรรม IB เพิ่มขึ้น พร้อมด้วยรายได้ค่านายหน้าจากการขายผลิตภัณฑ์ประกันเพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองลดลง

ทั้งนี้ ประมาณการไตรมาส 4/60 ได้รวมผลของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลในไตรมาสสุดท้ายไปแล้ว และเราใช้สมมติฐานการตั้งสำรองฯ/สินเชื่อ (credit cost) ที่ต่ำลงเป็น 70bps

นอกจากนี้ TCAP สามารถประสิทธิการทำกำไร (ROE) มาอย่างต่อเนื่องซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 12% ซึ่งการดำเนินงานดังต่อไปนี้เป็นผลให้ TCAP จะสามารถรักษาระดับการทำกำไรในอนาคตได้แม้ว่าอัตราภาษีจ่ายจะสูงขึ้น จากการเร่งขยายสินเชื่อในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศโตได้ถึงสองหลัก และน่าจะทำให้สินเชื่อของธนาคารขยายตัวได้ประมาณ 5% ในปี 61 จาก 3% ปี 60

ขณะเดียวกันต้นทุนค่าบำรุงรักษาสาขาลดลงเนื่องจากมีการปิดสาขาที่ไม่ค่อยมีธุรกรรมลงถึงกว่า 100 สาขา (ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับ PP&E ลดลงเกือบ 10% แล้วในปีนี้) และ Credit Cost ลดลงเนื่องจากมีสำรองก้อนใหญ่รองรับอยู่แล้ว และสัดส่วนสำรองฯ/หนี้เสีย (NPL coverage) ก็สูงถึงประมาณ 150%

ส่วนสินเชื่อที่ชะลอตัวมาหลายปีส่งผลให้สัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ของ TCAP เพิ่มขึ้นจาก 10.3%ในปี 58 เป็น 12.8% ในปัจจุบัน คาดว่า TCAP จะทบทวนนโยบายการจ่ายปันผลจากปัจจุบันที่ประมาณ 40% เพื่อบริหารจัดการอัตรากำไรและฐานทุนในระยะยาว ทั้งนี้ เมื่อใช้สมมติฐานอัตราการจ่ายปันผลที่ 50% จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึงเกือบ 6%

สำหรับประมาณการกำไรสุทธิปี 60/61/62 อิงจากสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อ ที่ 3%/5%/5%, NIM ที่ 2.9%/3%/3%, อัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่ 8%/5%/9% ส่วน Credit Cost ที่ 72bps/70bps/70bps และสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ 56%/54%/53%

ทั้งนี้ ธุรกิจของTCAP เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ และ ROE ก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาจนเกือบถึง 12% สูงกว่าช่วงห้าปีที่ผ่านมาซึ่งทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 10% เรามองว่า ROE ที่เพิ่มขึ้นทำให้หุ้น TCAP สมควรที่จะซื้อขายที่ระดับ P/E และ P/BV ที่สูงกว่าในอดีต ซึ่งเมื่อปรับมาใช้ P/E ที่ 10x และ P/BV ที่ 1.2x

ขณะเดียวกัน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ของ TCAP สูงสุดในปีอยู่ที่ 1.9 พันลบ. เพิ่มขึ้น 14.4% เทียบจากปีก่อนและ 8.3% เทียบจากไตรมาสก่อน ด้วยปัจจัยหนุนหลักจากกำไรจากการลงทุนจากการขายหุ้น MBK ออกไปในช่วงวันที่ 28 ก.ย. ถึง 9 ต.ค.60 ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ดีขึ้นตามฤดูกาลและการตั้งสำรองที่ลดลงเทียบจากไตรมาสก่อน

รวมทั้งคาดว่าสินเชื่อไตรมาส 4/60 เติบโตขึ้น 1.5% เทียบจากไตรมาสก่อน โดยมาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นหลักด้านอัตราส่วนหนี้เสียคาดลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อที่ขยายตัวขึ้น

Back to top button