พาราสาวะถี

เป็นธรรมดาของเผด็จการที่จะต้องหาแพะมารองรับทุกเรื่องที่ตัวเองถูกต่อต้าน การโยนความผิดไปให้บรรดาอาจารย์ที่อยู่เคียงข้างกลุ่มเคลื่อนไหวอยากเลือกตั้งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นเพียงการแก้เกี้ยว เอาตัวรอดไปวันๆ ในสถานการณ์ขาลงของรัฐบาลคสช.เท่านั้น ยิ่งไปอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงในต่างประเทศเกิดการสูญเสียมหาศาลยิ่งไปกันใหญ่


อรชุน

เป็นธรรมดาของเผด็จการที่จะต้องหาแพะมารองรับทุกเรื่องที่ตัวเองถูกต่อต้าน การโยนความผิดไปให้บรรดาอาจารย์ที่อยู่เคียงข้างกลุ่มเคลื่อนไหวอยากเลือกตั้งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นเพียงการแก้เกี้ยว เอาตัวรอดไปวันๆ ในสถานการณ์ขาลงของรัฐบาลคสช.เท่านั้น ยิ่งไปอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงในต่างประเทศเกิดการสูญเสียมหาศาลยิ่งไปกันใหญ่

เพราะความเป็นจริงก่อนที่เผด็จการคสช.จะเข้ามายึดอำนาจนั้น ถามว่าใครกันที่เป็นผู้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้ง หากเลือกที่จะเดินทางบนเส้นทางประชาธิปไตยมันจะจบตรงที่ต้องให้คนชื่อประยุทธ์นำทัพมาก่อการรัฐประหารหรือไม่ หากไม่โกหกตัวเองและคิดว่าคนทั้งประเทศ “โง่” ต้องเข้าใจด้วยว่าเหตุของความขัดแย้งหรือวิกฤติเทียมที่เกิดขึ้นนั้น มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร

การท่องคาถาอาสาเข้ามาดับไฟบ้านเมือง ทำให้ทุกอย่างเป็นปกติสุข ถามว่าบ้านเมืองเวลานี้มีความขัดแย้งอะไรอีกหรือไม่ ที่ทุกคนเห็นจะมีก็แต่ผู้มีอำนาจที่อยากอยู่ยาวและสืบทอดอำนาจต่างหาก ที่แปรสภาพตัวเองจาก กรรมการ” มาเป็น “คู่ขัดแย้ง” เสียเอง แล้วยังจะเที่ยวโพนทะนาให้ประชาชนเห็นว่า ฝ่ายที่เขาออกมาเรียกร้องคำสัญญามีเบื้องหลังไปเสียฉิบ

หากผู้มีอำนาจไม่พลิกลิ้น ทำตามสัญญาที่บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน ถามว่าจะมีคนที่เห็นต่างแล้วออกมาเรียกร้องทวงคำสัญญาหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ถ้าประเทศไทยมีประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์ตามคำโพนทะนาของท่านผู้นำจริง แค่นักศึกษา ประชาชนและอาจารย์เพียงหยิบมือ ทำไมจะต้องออกอาการโมโหโกรธาหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น

นี่เป็นเรื่องของกรรมชี้เจตนา เมื่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ผ่านทั้งการกระทำและคำพูด ทำให้คนไม่เชื่อถือ ซึ่งไม่ได้กระทบแค่ความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เอาเผด็จการเท่านั้น หากแต่สิ่งที่ห่วงกันมากกว่าว่าประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตยและไร้การเลือกตั้งไปอีกนานคือ ความเชื่อถือ เชื่อมั่นจากนานาประเทศ ที่เขาเฝ้ารอดูว่าเมื่อไหร่ไทยแลนด์จะมีรัฐบาลที่มาจากตัวแทนของประชาชนเสียที

พิจารณาจากเหตุและผลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลไกของกฎหมายใหญ่อย่างรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกฎหมายลูกและกฎหมายอื่นๆ ที่วางกติกาเอื้อให้กับผู้มีอำนาจปัจจุบันจะได้ไปต่อ และเตะตัดขานักการเมืองจากการเลือกตั้งไว้ล่วงหน้า มองไม่เห็นความจำเป็นว่า มีเหตุผลใดที่คณะเผด็จการจะต้องลากยาวการเลือกตั้งออกไปจากโรดแมปที่ตัวเองเป็นคนกำหนดเอง

หรือจะเป็นเพราะมีเนติบริกรอยู่รอบกาย จึงสนุกกับการใช้อภินิหารทางกฎหมาย พลิกแพลงสารพัด ปั่นหัวนักการเมืองชั่ว พรรคการเมืองเลว แต่ทำไปทำมากลับเป็นว่าเข้าตัว เนื่องจากทุกการกระทำไม่ใช่มีแต่พวกต้นทุนต่ำที่ขยับอะไรได้ยากจากฝ่ายการเมืองเท่านั้น หากแต่นักวิชาการ ปัญญาชนและคนในต่างประเทศที่เขาเกาะติดสถานการณ์การทำงานของคณะรัฐประหารในประเทศไทยก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษเหมือนกัน

ดังที่จะเห็นได้ผ่านแถลงการณ์หลายๆ ฉบับที่เรียกร้องทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย รวมไปถึงเสรีภาพของประชาชนที่พึงมี เหล่านี้ผู้นำเผด็จการย่อมรู้ดี แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่กับปัจจัยภายในที่ยังสลัดไม่หลุด โดยเฉพาะการกระเตงพวกที่มีพฤติกรรมทำให้สังคมไม่ยอมรับ เท่ากับเป็นการทำลายความเชื่อถือของตัวเองไปในตัวด้วย

ผลโพลระยะหลัง รวมไปถึงท่าทีของคนกันเองเป็นบทพิสูจน์ อย่างล่าสุด พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ตอบนักข่าวเสียงอ่อย ธรรมชาติของคนพออยู่นานก็รู้สึกเบื่อ อยากหาสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีกว่าคืออะไร เรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ นี่เป็นการมองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่กับบางคนบางพวกก็ยอมรับความเป็นจริงไม่ได้

จึงเกิดความพยายามในการที่จะล้างสมองทำให้คนเลิกเบื่อหรือทำเพื่อให้สบายใจว่าไม่มีใครต่อต้าน ซึ่งคงจะไปว่าอะไรไม่ได้ และความจริงก็เป็นธรรมชาติของอำนาจเผด็จการเช่นกันที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจที่ตัวเองมี โดยไม่ได้ผ่านการยอมรับจากประชาชน สิ่งสำคัญคือไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดในโลกยอมรับรัฐบาลและผู้นำเผด็จการ

สิ่งที่น่าสนใจจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของผบ.ทบ.ก็คือ ผลโพลของกอ.รมน. ซึ่งผู้สื่อข่าวพยายามซัก แต่พลเอกเฉลิมชัยบอกว่า ไม่เคยทำ เรื่องอยากเลือกตั้งหรือไม่อยากเลือกตั้งก็ฟังเสียงดู ถือเป็นมารยาทที่ต้องว่ากันไปตามนั้น เพราะความจริงอีกประการนับตั้งแต่คราวรัฐประหาร 2549 กอ.รมน.ได้มีการทำโพลหรือการสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยตลอดเพื่อประเมินความเชื่อถือเชื่อมั่นที่มีต่อผู้มีอำนาจ ณ เวลานั้น รวมไปถึงดูสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจด้วย

คราวนั้นปรากฏว่าเมื่อถามถึงการเลือกตั้งประชาชนจะเลือกใคร คะแนนเสียงของพรรคพลังประชาชนมาถล่มทลายซึ่งก็สอดคล้องกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา หนนี้ก็เช่นเดียวกัน เชื่อได้ว่ามีการทำและก็ทราบผลกันดี มิเช่นนั้น คงไม่เกิดการ “ยื้อ” การเลือกตั้งออกไปทั้งที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะ เช่นเดียวกับการเกิดปฏิบัติการณ์ไทยนิยมยั่งยืน ที่ส่งคณะทำงานร่วมหมื่นชุดอ้างไปทำความเข้าใจกับประชาชนถึงในระดับพื้นที่

เหล่านี้คือเรื่องจริงที่หากเป็นคนโดยทั่วไปหรือไม่มีอคติย่อมยอมรับความเป็นไป และหากเป็นผู้มีอำนาจที่เข้ามาเพื่อยุติความขัดแย้งแล้วพาประเทศเดินไปข้างหน้า ก็จะมองอย่างเข้าใจ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามกระบวนการ แต่เมื่อไม่ใช่เพราะตัวเองได้เลือกฝั่งและแบ่งฝ่ายไว้เรียบร้อยแล้ว จึงต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้เส้นทาง (สืบทอดอำนาจ) ที่ตัวเองจะเดินไปต่อไม่เกิดอาการสะดุด

หลายคนสงสัยหากเป็นช่วงยึดอำนาจหมาดๆ คงไม่มีใครกล้าคำถามเช่นนี้ แต่ล่าสุดกับการที่ผบ.ทบ.จะเดินทางไปเยือนสิงคโปร์ในฐานะแขกของกองทัพแดนลอดช่องและรับเหรียญอิสริยาภรณ์เชิดชูเกียรติด้านการทหารจากรัฐมนตรีกลาโหมของสิงคโปร์ ถูกตั้งปุจฉาว่าจะมีจังหวะแวะไปพบกับ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาพักผ่อนอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า จนได้คำตอบอย่าเชื่อมโยงแบบนี้มันเลอะเทอะ มองในมุมคนทำงานอย่างจริงจังก็เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นมิติการเมืองนี่สะท้อนภาพภาวะขาลง ความศรัทธาเสื่อมที่มีต่อผู้นำได้ประการหนึ่ง

Back to top button