สยอง! 10 หุ้น mai ราคาดิ่งหนัก 2 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน20%

สยอง! 10 หุ้น mai ราคาดิ่งหนัก 2 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน20% นำโดย DNA,NBC,EFORL,UKEM,FSMART, TAPAC,UPA,GCAP,DCORP และ SEAOIL


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (mai) ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ได้นำนำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว สำหรับครั้งนี้จะนำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงอีกด้าน

โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 20% มานำเสนอ 10 อันดับนำโดย DNA,NBC,EFORL,UKEM,FSMART, TAPAC,UPA,GCAP,DCORP และ SEAOIL โดยหุ้นสวนใหญ่ปรับตัวขึ้นแรงส่วนเป็นไปตามภาวะตลาด mai ซึ่งปรับตัวลดลงในช่วงดังกล่าว

สำหรับภาวะตลาดหุ้น mai ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลง 7.39% โดยเทียบตั้งแต่ดัชนียืนที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค.60) ลดลง 39.93 จุด มายืนอยู่ที่ระดับ 500.44 จุด (28 ก.พ.61) โดยดัชนีปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากตลาด mai แจ้งผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปี 2560 มีกำไรสุทธิรวม 4,966 ล้านบาท ลดลง 13.54%

อย่างไรก็ตามการนำเสนอข้อมูลราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงไม่สามารถนำเสนอได้ครบทั้ง 10 ตัว ดังนั้นจึงขอเลือกนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนเพียง 5 อันดับแรกของตารางเท่านั้น

สำหรับอันดับ 1 บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 47.25% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.91 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.48 บาท (28 ก.พ.61) คาดนักลงทุนเทขายหุ้น เนื่องจากพื้นฐานบริษัทไม่โดยบริษัทมีผลขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 อีกทั้งแผนธุรกิจไม่มีความชัดเจนทำให้นักลงทุนขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยผลการดำเนินงานปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 248.78 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 348.72 ล้านบาท ส่วนการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่ 1) ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าประเภทสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ (Home Entertainment) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท

2) ธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง ซึ่งดำเนินการและบริหารจัดการโดยบริษัทย่อยคือ DNA Revolution และกิจการร่วมค้าของกลุ่มบริษัทได้แก่ Smallroom, Primetime Entertainment และ Primetime Solution 3)ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ดำเนินการโดยบริษัทย่อยคือ Mr. Bun ซึ่งบริหารจัดการร้านเบเกอรี่มิสเตอร์บัน

 

อันดับ 2 บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง  44.44% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 1.17 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.65 บาท (28 ก.พ.61) คาดนักลงทุนเทขายหุ้น เนื่องจากพื้นฐานบริษัทไม่โดยบริษัทมีผลขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558 อีกทั้งแผนธุรกิจไม่มีความชัดเจนทำให้นักลงทุนขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2560 ขาดทุน 916.24 ลบ. เทียบกับปี 59 ขาดทุน 275.46 ลบ. โดยบริษัทดำเนินธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ และให้บริการข่าวสาร โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อรูปแบบใหม่ โดยเป็นการ spin off มาจาก NMG

 

อันดับ 3 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 42.86% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.07 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.04 บาท (28ก.พ.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาต่อเนื่องตามพื้นฐานบริษัทที่ไม่สดใส ขณะเดียวกันหุ้นยังรอความชัดเจนหลายเรื่อง อาทิ ศาลนัดสืบพยานคดีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โซลาริส จำกัด (Solaris)ฟ้องบ.ย่อยกรณีผิดนัดตั๋ว B/E ในวันที่ 19-20 มิ.ย.61

อีกทั้ง EFORL ขอขยายระยะเวลาการชี้แจงการที่บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยโดยทางอ้อม ที่ลงนามให้สิทธิในสัญญาแฟรนไชส์และสัญญาซื้อขายทรัพย์สิน “วุฒิศักดิ์คลินิก” จำนวน 25 สาขา แก่บริษัท ไฮ เฮลธ์แคร์ เซ็นเตอร์ จำกัด (HHC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) โดยขอขยายระยะเวลาการชี้แจงการทำรายการดังกล่าวออกไปอีกเป็นภายในวันที่ 30 มีนาคม 2561

ทั้งนี้ เนื่องจากยังได้รับเอกสารไม่ครบถ้วนจาก WCIG เช่น เอกสารแนบท้ายของสัญญาแฟรนไชส์ ระหว่างบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด กับบริษัท ดับบลิว เวลเนส จำกัด และยังไม่ได้รับสัญญาซื้อขายทรัพย์สินฉบับสมบูรณ์ ฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ระหว่าง บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ไฮ เฮลธ์แคร์ เซ็นเตอร์ จำกัด รวมทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้อง

โดยสำนักงานกฎหมายพรธิดาและธีรพล มีความเห็นให้ EFORL ติดตามเร่งรัดให้บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด จัดส่งเอกสารให้ครบถ้วน ภายในวันที่ 22 มีนาคม 2561 เพื่อให้ บริษัท สำนักงานกฎหมายพรธิดาและธีรพล จำกัด ตรวจสอบการทำธุรกรรมดังกล่าวของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิกอินเตอร์กรุ๊ป จำกัด และให้ความเห็นทางกฎหมายต่อ EFORL เพื่อให้ EFORL พิจารณาประกอบการชี้แจงการทำธุรกรรมของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัดต่อไป

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มี.ค.61ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้น SP หลักทรัพย์ เนื่องจากไม่ส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2560

 

อันดับ 4 บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ UKEM ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 39.25% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 1.86 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.13 บาท (28ก.พ.61) คาดหุ้นปรับตัวลงแรงหลังนักลงทุนได้ได้รับสิทธิเงินปันผลเป็นหุ้นและเงินสด

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสด และเสนอพิจารณาอนุมัติออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 2 (UKEM-2) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD (ไม่รับสิทธิปันผล) และเครื่องหมาย XW (ไม่ได้รับวอร์แรนต์) ภายในวันที่ 7 ก.พ. 2561

สำหรับหุ้นปันผลที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นบริษัทอยู่ในอัตรา 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 103,028,450 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล 0.125 บาทต่อหุ้น

ส่วนการออก UKEM-W2 จัดสรรแบบไม่คิดมูลค่าให้กับทางผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 8 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 103,028,450 หน่วย กำหนดราคาใช้สิทธิ 0.5 บาท ในอัตราใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 2 ปี

 

อันดับ 5 บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ  FSMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 36.93% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 17.60 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 11.10 บาท (28 ก.พ.61) นักลงทุนทยอยขายหุ้นเนื่องจากกังวลนักวิเคราะห์ปรับประมาณการปี 61-62 ลง อีกทั้งวิตกกังวลข่าวธปท.หนุนร้านโชห่วยทำ“แบงก์กิ้งเอเย่นต์”

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” FSMART ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 4/60 เพิ่ม 8% จากปีก่อน จากค่าซ่อมบำรุงตู้เติมเงินมากเป็นพิเศษ ค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มตามฤดูกาล และไตรมาส 4/59 มีเครดิตภาษี แต่ทั้งปีคงมองกำไรโตสูง 34% แม้โตลดลงจากฐานที่สูงขึ้น และปรับประมาณการปี 61-62 ลง 5-8% จากการปรับลดสมมุติฐานอัตราส่วนส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการ ยังกำไรโต 21.5% และ 16.9% ตามลำดับ

พร้อมปรับลดสมมุติฐาน L-T Growth เป็น 2.5% เพื่อ Conservative มากขึ้น ต่อปัจจัยเสี่ยงระยะยาวพฤติกรรมของผุ้ใช้บริการเติมเงินผ่านช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ Mobile App. ทำให้ราคาเป้าหมายปี 61 ลดเหลือ 19.50 บาท จากเดิม 23.50 บาท (DCF) ราคาหุ้นยัง Laggard และมี Upside 33% รวมทั้งคาดปันผลงวดครึ่งปีหลังของปี 60 หุ้นละ 0.31 บาท Yield 2.1% คงคำแนะนำซื้อ

ด้านนายสมชัย สูงสว่าง กรรมการผู้จัดการ FSMART เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีความกังวลกับประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกัน โดยบริษัทมีฐานลูกค้าที่ขยายไปตามชนบทและไม่ใช่ทำเลของร้านสะดวกซื้อดังกล่าว เพราะลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ทำรายการที่มีมูลค่าเงินไม่มาก เฉลี่ย 700 บาทต่อรายการ และต้องการความรวดเร็ว ประกอบกับบริษัทมีตู้บุญเติมในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ประมาณ 8,000 ตู้ ซึ่งไม่มีธุรกรรมการโอนเงิน ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลกรณีนี้

นอกจากนี้ ในปี 2561 บริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนตู้บุญเติมในอีก 20,000 ตู้ ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นปี 2561 จะมีตู้บุญเติมครอบคลุมทุกพื้นที่ 144,653 ตู้ ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2560 มีตู้บุญเติมรวม 124,653 ตู้ โดยกำหนดงบลงทุนในการขยายตู้ประมาณ 500 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2561 บริษัทตั้งเป้ามีรายได้เติบโต 15-20% จากปี 2560 มีรายได้ 3,105 ล้านบาท โดยบริษัทวางกลยุทธ์ที่หลากหลาย และเน้นคุณภาพครบทุกด้าน เพื่อการเติบโตทุกช่องทาง ด้วยหลักการบริหารจัดการยอดเติมเงินเฉลี่ยต่อตู้ต่อเดือน (ARPU) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ 32,000 บาทต่อตู้

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button