ครม.ไฟเขียวร่างบันทึกความร่วมมือพัฒนาการขนส่งระบบรางไทย-ญี่ปุ่น

ครม.ไฟเขียวร่างบันทึกความร่วมมือพัฒนาการขนส่งระบบรางไทย-ญี่ปุ่น


พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น พร้อมอนุมัติให้ รมว.คมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว

สาระสำคัญของร่างบันทึกความร่วมมือฯ ดังกล่าว ได้แก่ 1.ความร่วมมือในการพัฒนารถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยืนยันความร่วมมือโดยใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์รถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นที่ได้รับการรับรองด้านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก และจะร่วมกันพิจารณารูปแบบการลงทุนและความช่วยเหลือด้านการเงินที่เหมาะสม เพื่อให้ความร่วมมือระยะแรกของการลงทุนบรรลุผล รวมทั้งจะร่วมกันดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ การออกแบบรายละเอียดและการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการในรูปแบบของการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง,

  1. การพัฒนาระบบรางเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและ/หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ ตามที่ได้ระบุไว้ในบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ที่ได้ลงนาม เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 และให้ความสำคัญในการเร่งดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถและการปรับปรุงการให้บริการทางรางในเรื่องต่าง ๆ เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า การปรับปรุงรางและโครงสร้างราง การยกระดับขบวนรถไฟและระบบอาณัติสัญญาณ

ทั้งนี้ กระทรวงที่ดินฯ ร่วมกับ Japan International Cooperation Agency (JICA) จะเริ่มทำการศึกษาความเป็นไปได้และการออกแบบรายละเอียดโดยเร็ว เพื่อหารูปแบบความร่วมมือที่เหมาะสมที่สุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้งสองฝ่ายยินดีให้การสนับสนุนโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่สามารถดำเนินการได้ในระยะสั้น การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการในการพัฒนาบุคลากร การสนับสนุนการพัฒนาด้านนิติบุคคลเฉพาะกิจสำหรับความร่วมมือระบบราง ไทย-ญี่ปุ่น และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเมื่อได้รับทราบวงเงินโครงการแล้ว นอกจากนี้กระทรวงที่ดินฯ จะพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนโครงข่ายเส้นทางรถไฟในภาคตะวันออกที่มีความเหมาะสมด้วย,

  1. เส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องสำหรับความเป็นไปได้ในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาแนวเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก โดยฝ่ายญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการศึกษาความเป็นไปได้ และการศึกษารูปแบบการลงทุนในอนาคต,

    4. การให้บริการขนส่งสินค้าทางราง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะศึกษาความเป็นไปได้ในการให้บริการขนส่งสินค้าทางรางนี้ให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 และจะเริ่มดำเนินการโครงการนำร่องในต้นปี 2559 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศไทย,

  1. ระบบการขนส่งมวลชนทางราง ซึ่งทั้งสองฝ่ายรับทราบความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งจะได้นำระบบเทคโนโลยีของญี่ปุ่นมาใช้ โดยจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีระบบรางของญี่ปุ่นมาใช้ในโครงการขนส่งมวลชนทางรางอื่นๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล,
  2. โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ซึ่งกระทรวงที่ดินฯ จะให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน,
  3. ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการ ซึ่งกระทรวงที่ดินฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการ อาทิ การฝึกอบรม และการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญในสาขางานโยธา วิศวกรรมเครื่องกล/ไฟฟ้า การสื่อสารโทรคมนาคม ระบบอาณัติสัญญาณ และการควบคุมการดำเนินงาน และให้คำแนะนำเกี่ยวกับระบบรางที่เหมาะสมเพื่อยกระดับโครงข่ายรางในประเทศไทยและอำนวยความสะดวกในการดำเนินการโครงสร้างดังกล่าว ในการให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยและความทนทาน ของระบบรางซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของวัฏจักรระบบราง

ทั้งนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารร่วมระดับรัฐมนตรีขึ้น เพื่อควบคุมการดำเนินงานตามบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ โดย รมว.คมนาคมและ รมว.ที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะเป็นประธานร่วม คณะทำงานระบบรางระดับปลัดกระทรวงจะรับผิดชอบการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ที่คณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบแล้ว และจะมีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยเพื่อให้การดำเนินงานในแต่ละโครงการมีประสิทธิภาพ โครงสร้างคณะกรรมการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ส่วนกรอบระยะเวลาการดำเนินการนั้นทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปเรื่องกรอบระยะเวลาการดำเนินการความร่วมมือข้างต้น ภายในหนึ่งเดือนหลังการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฉบับนี้

Back to top button