เสิร์ฟ 3 หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน!

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ที่เคยทำไว้กับอิหร่าน ซึ่งจะนำไปสู่การคว่ำบาตรครั้งใหม่หลังจากนี้ 180 วัน ถือเป็นข้อบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจสูงสุดต่ออิหร่าน


เส้นทางนักลงทุน

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ที่เคยทำไว้กับอิหร่าน ซึ่งจะนำไปสู่การคว่ำบาตรครั้งใหม่หลังจากนี้ 180 วัน ถือเป็นข้อบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจสูงสุดต่ออิหร่าน

การที่สหรัฐฯกลับมาคว่ำบาตรต่ออิหร่าน จะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน 2 แสน-1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้อิหร่านเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก โดยส่งออกน้ำมันราว 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวันหลังจากลงนามข้อตกลงลดการผลิตในปี 2558 กับกลุ่มประเทศ P5+1 คือ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี เพื่อผ่อนปรนการคว่ำบาตร

ขณะที่บางกลุ่มคาดว่าการที่สหรัฐฯ กลับมาคว่ำบาตรอีกครั้ง จะทำให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของอิหร่านไม่ลดลงมากเหมือนในอดีต เนื่องจาก 1)สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่กลับมาคว่ำบาตร  ซึ่งสหรัฐฯ ไม่มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านอยู่แล้ว ในขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปยืนยันไม่ถอนตัวจากข้อตกลง ซึ่งมีแนวโน้มคงการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านต่อไป ทั้งนี้ ในปี 2560 ยุโรปตะวันตกนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านราว 5 แสนบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วน 24% ของการส่งออกน้ำมันดิบทั้งหมดของอิหร่าน

และ 2)หากอิหร่านไม่สามารถส่งออกไปยุโรปได้ คาดว่าอิหร่านจะยังส่งออกไปจีน และอินเดีย ทดแทนการส่งออกที่น้อยลงจากเวเนซุเอลาไปยัง 2 ประเทศนี้ เนื่องจากเวเนซุเอลามีปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ อีกทั้งปัจจุบันจีนมีความขัดแย้งเรื่องการค้ากับสหรัฐฯ จึงไม่น่าลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน

ทั้งนี้จีนและอินเดียถือเป็นประเทศหลักที่นำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน โดยอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งอยู่ 1 ใน 3 ของปริมาณส่งออกน้ำมันของอิหร่าน

จากเหตุการณ์ที่สหรัฐฯตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปก น่าจะทำให้อุปทานน้ำมันจะตึงตัวและราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น และกลับมาทรงตัวในระยะถัดไป

ขณะที่นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ DBS Group Research ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ปีนี้เป็น 70-75 ดอลลาร์/บาร์เรล (เดิม 60-65 ดอลลาร์/บาร์เรล) ส่วนในปี 2562 คาดการณ์ว่าจะอ่อนตัวลงมาที่ 65-70 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจาก Shale Oil ของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นและกลุ่มโอเปกน่าจะยุติโครงการลดปริมาณการผลิต

อีกทั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นทำให้เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น และทำให้เฟดและประเทศต่าง ๆ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศยังคงต่ำมาก (รวมทั้งไทย) ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะยังไม่เห็นในปีนี้ แต่ในปี 2562 มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นได้

สิ่งสำคัญการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจะทำให้การเกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า นอกเหนือจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวแข็งแกร่งและเฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2561 และขยับขึ้นต่อในปี 2562

ดังนั้น ด้วยปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จะส่งผลบวกต่อผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่รายได้มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านราคา

กลยุทธ์การลงทุน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มีมุมมองที่เป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน จากการที่ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะทรงตัวสูงกว่า 70 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งกำไรสุทธิกลุ่มพลังงานคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทย รวมทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานก็มีสัดส่วน Market Cap คิดเป็น 23% ของตลาดหุ้นไทย นับว่ามีความสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยมาก ๆ

สำหรับหุ้นเด่นเชิงกลยุทธ์

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT (ราคาเป้าหมาย 63.50 บาท) มองว่าปีนี้หุ้นมีหลายปัจจัยกระตุ้น เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น, PTTEP ประมูลสัมปทานแหล่งบงกชและเอราวัณ, มีกำไรจากการโอนสินทรัพย์ให้ PTTOR และจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดฯปี 2562, ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย/ร่วมในธุรกิจโรงกลั่นยังคงแข็งแกร่ง โดยเข้าไปถือหุ้นใน IRPC เพิ่มอีก 9.5% เป็น 48% ในปัจจุบัน

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (ราคาเป้าหมาย 113 บาท) มีความได้เปรียบเพราะเป็นผู้ผลิต Gas-based ซึ่งต้นทุนจะปรับขึ้นช้ากว่าผู้ผลิตประเภท Naphtha-based แนวโน้มกำไรปีนี้แข็งแกร่งต่อจากปีก่อนจากสเปรดของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่สูง โดยเฉพาะ HDPE และได้อานิสงส์ทางบวกจากโครงการ MAX ด้วย

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท) คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2561 จะเติบโต Outperform กลุ่ม เนื่องจากในไตรมาส 1/2561 มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Turnaround) ทำให้ปริมาณการผลิตปีก่อนต่ำ ขณะที่ปีนี้ผลิตได้ปกติ ส่งผลให้ปริมาณขายจะเติบโต อัตรากำไรอยู่ในเกณฑ์ดี และได้ประโยชน์จากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน (การปรับปรุงหน่วยการกลั่น ADU & RDCC และโครงการ UHV ซึ่งเป็นการแปลงน้ำมันเตาเป็นโพรพิลีนที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า)

นั่นก็หมายความว่า ด้วยปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ประกอบกับปัจจัยบวกจากตัวบริษัทที่มีอยู่ในด้านธุรกิจ ก็คงสามารถเคาะขวาหุ้น PTT, PTTGC และ IRPC ได้ และที่สำคัญยังมีอัพไซด์เหลือให้เข้าลงทุน

Back to top button