SEAFCO สู่ปีทอง

เมื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์จากภาคเอกชนและภาครัฐมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างการก่อสร้างงานเสาเข็มเจาะ งานฐานรากและงานโยธาทั่วไป ซึ่งถือเป็นธุรกิจต้นน้ำของอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์


คุณค่าบริษัท

เมื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์จากภาคเอกชนและภาครัฐมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างการก่อสร้างงานเสาเข็มเจาะ งานฐานรากและงานโยธาทั่วไป ซึ่งถือเป็นธุรกิจต้นน้ำของอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์

บริษัทที่ได้รับประโยชน์คงหนีไม่พ้น บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ซึ่งเป็นผู้รับก่อสร้างงานเสาเข็มเจาะ งานฐานรากและงานโยธาทั่วไป โดยรับงานทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนระดับต้น ๆ ที่ได้รับพิจารณา เพราะดูได้จากงานในมือที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ

โดยมีการเพิ่มขึ้นจากโครงการที่มีศักยภาพ โครงการ One Bangkok รวมถึงงานภาครัฐต่าง ๆ เช่น มีทั้งรถไฟฟ้าสายสีชมพู, รถไฟฟ้าสายสีส้ม, ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง, มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี, สายสีม่วงใต้, รถไฟรางคู่เฟสที่ 2 และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินใน EEC

ทั้งนี้จากโครงการดังกล่าวสามารถทำให้ SEAFCO มีงานในมือ (Backlog) ราว 3.3 พันล้านบาท ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้มากขึ้นในไตรมาส 2/2561 เป็นต้นไป และรองรับรายได้ยาวไปถึงปีหน้า และกำไรจะเริ่มเติบโตโดดเด่นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะงานขนาดใหญ่หลายงานได้เริ่มก่อสร้างแล้ว

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2561 จะอยู่ที่ 66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 25% จากไตรมาสก่อน จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการ One Bangkok นั่นเอง

ที่สำคัญคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตขึ้นต่อในครึ่งหลังของปี 2561 และปี 2562 จากการก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน

นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเริ่มประมูลในครึ่งหลังของปี 2561 คือ The Mall บางนา, The Mall รามคำแหง, Emquartier (Dinosaur Planet), Icon Siam R2 และ Super Tower จะทำให้งานของ SEAFCO เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แม้ว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างเพียง 448.70 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 540.32 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรทั้งสิ้น 52.39 ล้านบาท หรือ 0.09 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 60.69 ล้านบาท หรือ 0.10 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามการลดลงของกำไรไม่มีผลที่น่ากลัว เนื่องจากยังไม่ได้รับรู้งานในโครงการใหญ่ที่เข้ามาซึ่งจะรับรู้ในช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไป

นอกจากนี้ฐานะทางการเงินของ SEAFCO ยังดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 969.21 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียน 940.39 ล้านบาท ได้ค่า CURRANT RATIO อยู่ที่ระดับ 1.03 เท่า สะท้อนว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีพอสมควร

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวม 1,233.09 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 1,248.71 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.99 เท่า ถือว่าปัญหาหนี้สินยังเป็นระดับที่รับได้ และที่สำคัญทางบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งไม่น่าเป็นห่วง

ที่สำคัญทางนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11 บาท/หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ 46,899,122 หุ้น 7.67%
  2. น.ส.ณัฐฐกานต์ ทัศนนิพันธ์ 31,186,456 หุ้น 5.10%
  3. นางภาวนา ทัศนนิพันธ์ 19,716,664 หุ้น 3.23%
  4. นายทัศน์พันธ์ ทัศนนิพันธ์ 19,337,498 หุ้น 3.16%
  5. นายทัชชะพงศ์ ประเวศวรารัตน์ 18,080,000 หุ้น 2.96%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัท
  2. นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ กรรมการอิสระ
  3. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
  4. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการ
  5. นายเผด็จ รุจิขจรเดช กรรมการ

Back to top button