ยุคทอง”PYLON-SEAFCO”เมกะโปรเจกต์! ดันงานเสาเข็มทะลัก ลุ้นปีนี้กำไรโตกระฉูด-แถมอัพไซด์หรู

ยุคทอง"PYLON-SEAFCO"เมกะโปรเจกต์! ดันงานเสาเข็มทะลัก ลุ้นปีนี้กำไรโตกระฉูด-แถมอัพไซด์หรู


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นกลุ่มเสาเข็มมานำเสนอเนื่องจากช่วงนี้มีการลงทุนรอบใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ ไปในทิศทางเดียวกับ ภาคเอกชนที่เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องและกลุ่มเสาเข็มจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับประโยชน์เป็นลำดับที่ 1 จากเป็นผู้ก่อสร้างงานฐานรากแรกเริ่มของทุกโครงการ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้าสีแดง,สีส้มส่วนต่อขยายและรถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐาน EEC 4 โครงการ,ประมูลรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน เป็นต้น

ดังนั้นงานเสาเข็มเจาะจึงเป็นที่น่าจับตาและน่าสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในรายของ PYLON และ SEAFCO เพราะด้วยจุดแข็งที่หุ้นทั้ง 2 มีทำให้โบรกเกอร์มองว่าปีนี้จะเป็นปีทองสำหรับหุ้นดังกล่าวและน่าจะหนุนธุรกิจให้เติบโตไปอีก2-3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันราคาหุ้นทั้ง 2 ตัว ยังมีอัพไซด์สูงเกิน 20%แถมแผนธุรกิจยังสดใสดังบทวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุไว้ดังนี้

Bullish Cycle กลุ่มเสาเข็ม งานเสาเข็มใหม่ล้นตลาด อัตรากำไรโดดเด่น Supply เสาเข็มทั้งหมดรองรับได้เพียง 9.8 พันล้านบาทต่อปี มีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิต

คงแนะนำ Bullish กลุ่มเสาเข็มและเลือก PYLON (TP19 10.0) เป็น Top pick โดยภาวะปัจจุบันยังเป็น Bullish cycle ของกลุ่ม จากปริมาณเสาเข็มมีไม่เพียงพอต่อ Demand ที่จะเกิดขึ้นโดยประเมิน Supply ของเสาเข็มเจาะทุกประเภทในประเทศไทยในปี 61 มีจำนวนทั้งหมด 163 ชุด โดยมี 4 ผู้นำรายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูง i) SEAFCO 31% ii) PYLON 15% iii) TREVI 12% iv) THAI BAUER11% v) ผู้ประกอบการรายอื่นๆ อีก 31% ซึ่งหากคำนวณอิงเสาเข็มเจาะ 1 ชุด (หัวเจาะหลากหลายแบบ, รถเครนยกเอนกประสงค์, และเครื่ององเจาะ เป็นต้น)

ประเมินว่า สามารถสร้างรายได้ (วัสดุก่อสร้าง+ ค่าแรง) ต่อปีเฉลี่ย 60 ล้านบาท(5 ล้านบาทต่อเดือน) ส่งผลให้ในระยะเวลา 12 เดือน จะสามารถรองรับ Demand ของงานเสาเข็มได้ทั้งหมด 9.8 พันล้านบาท(บนสมมติฐานงานเสาเข็ม (ค่าแรง) เท่ากับ 3% ของเม็ดเงินลงทุนของโครงการ) หรือเท่ากับ มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งหมดที่เพียง 3.26 แสนล้านบาทต่อปี ดังนั้นในภาวะ Supply ตึงตัวและ Demand สูง หนุนราคารับงานอยู่ในระดับสูงและอัตรากำไรโดดเด่น

ประมาณการเฉพาะงานเสาเข็มของรัฐและเอกชนปี 62-63 รวมสูงถึง 2.3 หมื่นล้านบาท เม็ดเงินลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศ สำหรับปี 61-63 แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

i) โครงสร้างพื้นฐานเปิดประมูลแล้วอย่างเป็นทางการในครึ่งปีแรกมูลค่า 51 แสนล้านบาท (1H17: 1.36 แสนล้านบาทบ.) และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีเปิดประมูลอีก 2 แสนล้านบาทส่งผลให้ ยอดประมูลของภาครัฐในปี 61 คาดจะเติบโตสูงถึง +82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากมองไปถึงปี 62 ประเมินจะเปิดประมูลโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่องอีกกว่า 4.78 แสนล้านบาท(รถไฟฟ้าสีแดง, สีส้มส่วนต่อขยายและรถไฟทางคู่)หรือเพิ่มขึ้น +35% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ มูลค่างานเสาเข็ม 1.43 หมื่นล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างปี 61

ii) กลุ่มอสังหาฯเฉพาะส่วนคอนโดฯเปิดใหม่ปี 61 มูลค่า 49 แสนล้านบาท (9 บริษัทอสังหาฯ Under Coverage) เท่ากับ มูลค่างานเสาเข็ม 4.48 พันล้านบาท ทยอยก่อสร้างในปี 61-62

iii) เอกชนรายใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า, อาคารสูงและศูนย์การค้าแบบ Mixed-use รวมมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาท เท่ากับ มูลค่างานเสาเข็มราว 1.5 พันล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างไตรมาส1/62

iv) โครงสร้างพื้นฐาน ใหม่ใน EEC 4 โครงการ มูลค่า 7 แสนล้านบาท แต่ให้น้ำหนักเฉพาะสนามบินอู่ตะเภา 2.9 แสนล้านบาท และศูนย์ซ่อมเครื่องบิน 1 หมื่นล้านบาท ที่ใช้งานเสาเข็มเป็นจำนวนมาก หากตั้งสมมติฐานบน 3% จะเท่ากับ มูลค่างานเสาเข็มสูงถึง 9 พันล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างก่อสร้างในปี 63

v) รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ทั้งหมด 15 สถานี เชื่อมจากดอนเมือง ไปสุวรรณภูมิจนถึงอู่ตะเภา เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในเขต EEC มูลค่า 2 แสนล้านบาท เท่ากับงานเสาเข็ม 6.6 พันล้านบาท

จาก Cycle การลงทุนรอบใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ ไปในทิศทางเดียวกับ ภาคเอกชนที่เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มเสาเข็มจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับประโยชน์เป็นลำดับที่ 1 จากเป็นผู้ก่อสร้างงานฐานรากแรกเริ่มของทุกโครงการ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงมีมุมมอง BULLISH ต่อหุ้นกลุ่มเสาเข็ม

i) กำลังการผลิตเสาเข็ม ในปัจจุบัน คาดว่าสามารถรองรับงานเสาเข็มได้เพียง 8 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ 5 ส่วนที่กล่าวถึง มี Demand งานเสาเข็มสูงถึง 1.15 หมื่นล้านบาทต่อปี (สำหรับ 62-63) ทำให้มี Potential Upside ที่ผู้ประกอบการจะเพิ่มกำลังการผลิต หนุนรายได้รวมเติบโตได้อีก

ii) ภาวะ Demand สูง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (PYLON 24.8%, SEAFCO 24.5%) และไม่เกิดการแข่งขันด้านราคาการประมูลงานในอุตสาหกรรม

เลือก PYLON (BUY, THB10.0) เป็น Top pick ของกลุ่ม จากประเมินกำไรปี 61 ทำจุดสูงสุดใหม่และคาดว่าจะยังมีอัตราเติบโตในระดับสูงได้ต่อเนื่องในปี 62-63 จากการขยายจำนวนเสาเข็มเจาะเพิ่มขึ้น และรักษาระดับอัตรากำไรในระดับสูง ในขณะที่ SEAFCO (BUY, THB11.8) โดดเด่นในฐานะผู้นำกลุ่ม แต่คาดอัตราการเติบโตของฐานกำไรในปี 62-63 จะจำกัดจากฐานสูงในปี 61

SEAFCO: คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 97.8 ลบ. เติบโตสูง +117% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +5% เทียบไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ จากอานิสงค์รับรู้รายได้งานเสาเข็มโครงการ One Bangkok และงานกำแพงกันดินของรถไฟใต้ดินสายสีส้มเต็มไตรมาส ประกอบกับ เริ่มรับรู้รายได้งานรถไฟฟ้าสายสีชมพูราว 2 เดือนในไตรมาสนี้หนุนรายได้รวม ทำ All-time high ต่อเนื่องอีกครั้งที่ 721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากมีรายได้ส่วนเพิ่มจากงานรถไฟฟ้าสีชมพู และคาด GPM ใกล้เคียงเดิมที่ 23.3% (ไตรมาส2/61: 23.4%) และ NPM ที่ 13.6% (ไตรมาส2/61: 14.1%) ในขณะที่ Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.9 พันล้านบาท Secure รายได้ส่วนใหญ่ในแต่ละไตรมาสจนถึงไตรมาส 1/61

PYLON: คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 เติบโตเด่นที่ 67.4 ลบ. เพิ่มขึ้นทั้ง 1,322% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานต่ำในปีก่อน +117% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากจำนวนเสาเข็มเจาะใช้เฉลี่ยทั้งไตรมาส 18 ชุด (ไตรมาส2/61: 15 ชุด) ในทิศทางเดียวกับรายได้รวม คาดที่ระดับ 371 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +242% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, และ +55% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A ทรงตัวเทียบ เทียบไตรมาสก่อนหน้า ที่ 19.5 ล้านบาท และในส่วนของ Backlog คาดยืนทีBระดับ 1.1 พันลบ. ซึ่งรายได้ที่จะบันทึกไปถึงเดือนก.พ.61 แล้ว ในขณะที่ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างการประมูลงานจากภาคเอกชนเพิ่มมีโครงการที่มี Potential ในการชนะสูงกว่าอีก 800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในไตรมาส 4/61

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button