AECS กระหึ่ม! นำทัพ 3 บจ.ดัง “EA-STAR-PPPM” ลุยเมกะโปรเจกต์ลาว 4.7 แสนลบ.

AECS กระหึ่ม! นำทัพ 3 บจ.ดัง “EA-STAR-PPPM” ลุยเมกะโปรเจกต์ลาว 4.7 แสนลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีพิธีลงนามเซ็นสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) ระหว่างภาคเอกชนไทย ประกอบด้วย 3 บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย นำโดย บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA, บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR และ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM ร่วมกับบริษัทเอกชนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการจัดหาทุนในการพัฒนาโครงการ

โดยสัญญาความร่วมมือดังกล่าวมีทั้งหมด 5 ฉบับ มูลค่าการลงทุนรวม 1.45 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4.75 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งประกอบด้วย 1.บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Petrotrade Trading Lao Public Company ซึ่งเป็นความร่วมมือในการพัฒนาเรื่องเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการจัดหาทุนในการพัฒนาโครงการทั้งหมด

2.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมกับ Petrotrade Trading Lao Public Company ซึ่งเป็นความร่วมมือในการลงทุนด้านการขนส่งระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในด้านการพัฒนาธุรกิจสำหรับโครงการต่างๆ ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ประกอบด้วยการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้า ระบบสายส่ง เหมืองแร่ แบตเตอรี่ และอื่นๆ โดยมีมูลค่าโครงการ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือ 3.28 หมื่นล้านบาทต่อปี

3.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมกับ บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR และ Petrotrade Trading Lao Public Company ซึ่งเป็นความร่วมมือในการลงทุนด้านการขนส่งระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในด้านการพัฒนาธุรกิจ สำหรับโครงการต่างๆ ระหว่าง 2 ประเทศ ประกอบด้วย รถบรรทุก รถไฟฟ้า (รถยนต์ และรถเพื่อการพาณิชย์) โดยมีมูลค่าโครงการ 300 เหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือประมาณ 9.83 พันล้านบาทต่อปี

4.บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR ร่วมกับ Khouanchay Trading Import-Export Company ซึ่งเป็นความร่วมมือในการลงทุนด้านสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกระยะยาวอย่างยั่งยืนในสปป.ลาว และร่วมกันพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ โดยมีมูลค่าโครงการ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือประมาณ 1.64 พันล้านบาทต่อปี

และ 5. บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM ร่วมกับ Sitthi Inter Trading Import-Export Co., Ltd ซึ่งเป็นความร่วมมือในการลงทุนด้านการพัฒนากสิกรรมให้กับ 2 ประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือประมาณ 3.28 พันล้านบาทต่อปี

ด้านนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด มหาชน หรือ STAR ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท Petrotrade Trading Lao Public Company ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ในสปป.ลาว เพื่อร่วมลงทุนในด้านพลังงานไฟฟ้า ระบบสายส่ง รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่

โดยเบื้องต้นบริษัทวางแผน 5 ปี ในการส่งมอบรถไฟฟ้าจำนวน 4 แสนคัน มูลค่าประมาณ 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยส่งรถล็อตแรกได้ในช่วงปลายปี 2562

อนึ่งปัจจุบัน สปป.ลาว มียอดใช้รถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 6 ล้านคัน โดยตามแผนประเทศดังกล่าวต้องการที่จะปรับเปลี่ยนจากการรถยนต์แบบปกติเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายใน 10 ปี เนื่องจาก สปป.ลาว มีราคาน้ำมันที่ค่อนข้างสูง หากเปลี่ยนมาใช้รถที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้

อย่างไรก็ดี หากมีการส่งออกได้ตามแผนจะเป็นการขยายการเติบโตให้บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันการที่บริษัทสามารถส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นรายแรกใน สปป.ลาว จะช่วยให้แบรนด์รถยนต์ของบริษัทเป็นที่ยอมรับในสากลและเชื่อว่าทำให้การเติบโตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตจากการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.หญิง ดร.จิรารักษ์ สิทธิพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR ยังได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท Khouanchay Trading Import-Export Company ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านค้าปลีกอันดับ 1 ในสปป.ลาว โดยบริษัทจะร่วมลงทุนในด้านสินค้าอุปโภคบริโภคแบบระยะยาวและยั่งยืน

ด้านนายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือบริษัทเอกชนในสปป.ลาว Sitthi Inter Trading Import-Export Co., Ltd เพื่อร่วมลงทุนในด้านกสิกรรม ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นการนำเข้าไม้แปรรูป เศษไม้ และซุง เพื่อนำส่งเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวลภายในประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการธุรกิจดังกล่าวได้ในช่วงต้นปี 2562 และจะส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเติบโตกว่าเท่าตัว จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวมที่ระดับ 2 พันล้านบาท อีกทั้งยังตั้งเป้ารายได้รวมโต 20% จากการเติบโตของธุรกิจอาหารที่ทิศทางการเติบโตที่ดี ขณะเดียวกันบริษัทจะมีการขยายกลุ่มอาหารไปยังอาหารสัตว์เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ (MW) มูลค่า 1.4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 1/62 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีการบันทึกกำไรพิเศษ และอาจส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 62 สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้

Back to top button