เปิด 50 รายชื่อหุ้น SET ปี 2561 ราคาเดี้ยงหนัก! นักลงทุนเจ๊งเกิน 50%

เปิด 50 รายชื่อหุ้น SET ปี 2561 ราคาเดี้ยงหนัก! นักลงทุนเจ๊งเกิน 50% นำโดย MALEE,DDD,JMART,FN และ WORK


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ปี 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ธ.ค.61 และได้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านซึ่งได้ปรับตัวลดลง 12.14% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1563.88 จุด ( 28 ธ.ค.61) ลบไป 189.83จุด

โดยทิศทางตลาดหุ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังกดดันการลงทุนมากสุดจนถึงขณะนี้

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรงครั้งนี้ได้คัดเลือกจากราคาหุ้นที่ร่วงหนักเกิน 50% โดยคัดเลือกมาทั้งหมด 50 ตัวอย่างไรก็ตามครั้งไม่สามารถนำเสนอข้อมูลประกอบได้ทั้งหมดทุกตัวจึงขอนำเสนอข้อมูลเพียง 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 79.08% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 38.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 8.00 บาท (28 ธ.ค.61) ราคาหุ้นร่วงหนักปี 2561 ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานออกมาไม่สดใสโดยเฉพาะผลงาน 9 เดือน 2561 พลิกขาดทุน129.44 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 257.464 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นร่วงหนัก

ด้านนางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทยังต้องลุ้นผลประกอบการปี 61 ออกมามีกำไร หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีผลขาดทุนราว 5 ล้านบาท โดยเป็นผลหลักมาจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย 22 ล้านบาท และยอดขายที่ปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และผลักดันให้ยอดขายมีการเติบโต

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 5,987.94 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีการเติบโต 30% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 2,719.55 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 7% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมั่นใจว่ารายได้จะมีการเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของบริษัท Long Quan Safe Food JSC (LQSF) ในประเทศเวียดนาม ที่ MALEE เข้าไปถือหุ้นราว 65%

พร้อมกันนั้น ในช่วงครึ่งปีหลัง 61 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าใหม่ 3-4 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของการบริโภคทั้งโลก โดยเชื่อว่าจะเข้ามากระตุ้นยอดขายของบริษัทให้มีการเติบโตขึ้น

นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวอีกว่า บริษัทเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในปี 62 เนื่องจากบริษัทได้ลงทุนในโครงการที่รองรับการเติบโตในอนาคตไปครบแล้ว ประกอบกับเชื่อว่าสินค้าในกลุ่มใหม่จะเห็นผลช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างชัดเจนขึ้น ประกอบกับการใช้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรใหม่จะเข้าสู่จุดที่เหมาะสมมากขึ้นด้วย

 

อันดับ 2   บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ  DDD  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 78.76% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 88.50 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 18.80 บาท (28ธ.ค.61) คาดนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานมีกำไรถดถอยโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/61 พลิกขาดทุนสุทธิ 0.66 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 44.39 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไร 174.36 ล้านบาท ลดลงเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 253.45 ล้านบาท  ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/61 ผลประกอบการของบริษัทจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น เพราะว่าสถานการณ์ในประเทศจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากบริษัทเข้าไปทำตลาดเพิ่มเติม เพื่อทดแทนช่องทางการจำหน่ายเดิม รวมทั้งในช่วงไตรมาส 4/61 ยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวชาวจีนเริ่มทยอยเดินทางกลับมา ส่งผลให้รายได้กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดตัวออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “NAMU LIFE SNAILWHITE ICY MASK” มาส์กเนื้อเกล็ดหิมะ พร้อมดึงพรีเซนเตอร์ “ญาญ่า อุรัสยา” เข้ามาร่วมโปรโมทผลิตภัณฑ์ใหม่

 

อันดับ 3 บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 73.67% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 18.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 4.74 บาท (28ธ.ค.61)  นักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 12 เดือนเนื่องจากผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาส ที่ผ่านมาไม่สดใส ส่งผลให้งวด 9 เดือนปี 61 ขาดทุนสุทธิ 140.1 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 394.1 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 61 โดยธุรกิจการจัดจำหน่ายมือถือ ซึ่งเป็นธุรกิจของบริษัทแกน เชื่อว่าในไตรมาส 4/61 จะเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี โดยมีสินค้ามือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และโปรโมชั่นจำหน่ายมือถือในช่วงปลายปีจากแบรนด์ต่างๆ

นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ทำ Exclusive Partnership กับ AIS ในการจำหน่ายซิมการ์ดและบริการอื่นๆ ของ AIS ในช่องทางการจัดจำหน่ายของเจมาร์ท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจัดจำหน่ายมือถือที่มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าเครื่องที่แข่งขันได้ และมีรายได้เพิ่มจากส่วนแบ่งรายได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกับ AIS ในการผลักดันจำนวนลูกค้า SIM Card ให้ได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่ในปี 62 JMART จะยิ่งได้รับผลส่งกำไรจาก บมจ. เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ซึ่งทิศทางแนวโน้มของผลประกอบการจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ของ JMART จะเร่งพลิกผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทย่อยอื่นๆ ให้เติบโตกลับมาได้ เพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้กับบริษัท JMART ได้ในปีหน้า

 

อันดับ 4 บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 73.40% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 5.30 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.41 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 12  เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผิดหวังผลการดำเนินงานออกมาไม่สดใส

โดยเฉพาะผลงานไตรมาส 3/61 มีกำไร 1.80 ล้านบาท ลดลง 89.68% จากปีก่อนกำไร 17.39 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไร 21.63 ล้านบาท ลดลง 65% จากปีก่อนกำไร 60.96 ล้านบาท

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐออกมาตรการกระตุ้นกว่า 1 แสนล้านบาท รัฐบาลอัดฉีดผู้มีรายได้น้อยกระตุ้นการบริโภคในประเทศเมื่อวันที่ 20 พ.ย.61 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท หวังช่วยเศรษฐกิจปีนี้เติบโตขึ้น 0.07%

นอกจากนั้นยังกำลังพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วง 16 ธ.ค.61-15 ม.ค.62 โดยจะกำหนดสินค้าเฉพาะบางรายการเข้าร่วม เช่น การซื้อยางรถยนต์, การส่งเสริมการอ่าน โดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

ความเห็น DBSVTH นับเป็นบวกกับกลุ่มค้าปลีก & อาหาร & ผลิตภัณฑ์ความงาม ที่จำหน่ายสินค้าราคาไม่สูง โดยบจ.ที่ได้ประโยชน์หลักๆ ได้แก่ CPALL, BJC, COM7, JMART, MC, FN, SYNEX, MINT, ERW, MM, BEAUTY, KAMART เป็นต้น

 

อันดับ 5 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ WORK  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 72.34% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 84.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 23.30 บาท (28 ธ.ค.61)ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงช่วง ส่วนใหญ่เป็นผลมาผลประกอบการธุรกิจไม่สดใสทั้ง 3 ไตรมาสปี 2561 ประกอบกับเรตติ้งทีวีตกและโบรกเกอร์ได้ปรับประมารการกำไรปี61-62 ลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า WORK ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2018- 2019 ลง 19.5 -20.7% อยู่ที่ 404 และ 517 ล้านบาท ตามลำดับ  จาก 1)เม็ดเงินโฆษณาทีวีที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันไปบริโภคสื่อผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น 2) รายได้จากรายการโทรทัศน์ที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์เดิม ส่งผลจากเรตติ้งที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด โดยในปี 2018-2019 ปรับลดรายได้จากรายการโทรทัศน์ลง 8.1 – 5.1% ตามลำดับ

มองว่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของเรตติ้ง คาดเห็นเรตติ้งเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส1/62 โดยทาง WORK มีแผนที่จะซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงเรตติ้ง 3) Gross profit margin ที่หดตัวอยู่ที่ 41.5% และ 41.9% จากต้นทุนการผลิตรายการทีวีที่สูงขึ้นจากการผลิตรายการใหม่ และค่าลิขสิทธิ์เอเชียนเกมส์ 4) SG & A to total sales อยู่ที่ 23.3% จากค่าโฆษณาและค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดสินค้า Let Me In Beauty

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button