หุ้นโรงกลั่นวิ่งคึกหลังราคาน้ำมันพุ่ง ฟาก”เมย์แบงก์” ชูTOP เด่นสุด รับมาตรการIMO 2020หนุน

หุ้นโรงกลั่นวิ่งคึกหลังราคาน้ำมันพุ่ง ฟาก"เมย์แบงก์" ชูTOP เด่นสุด รับมาตรการIMO 2020หนุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 73 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 1.74% สูงสุดที่ 73 บาท ต่ำสุดที่ 71.25 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.02 พันล้านบาท

ขณะที่ราคาหุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 71.50 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.35% สูงสุดที่ 71.50 บาท ต่ำสุดที่ 70.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 699.68 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 6 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.69% สูงสุดที่ 6 บาท ต่ำสุดที่ 5.90 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 203.03 ล้านบาท

ขณะเดียวกันราคาหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 11 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.80% สูงสุดที่ 11.10 บาท ต่ำสุดที่ 10.60 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 127.74 ล้านบาท

ส่วนราคาหุ้นบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 11 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.80% สูงสุดที่ 11 บาท ต่ำสุดที่ 10.70 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 245.57 ล้านบาท

อีกทั้งราคาหุ้นบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 33.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.76% สูงสุดที่ 33.25 บาท ต่ำสุดที่ 32.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 67.74 ล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่ามาจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เป็นที่น่าจับตาว่ากลุ่มโรงกลั่นยังมีประเด็นที่น่าติดตาม จากกรณีของมาตรการ IMO 2020 ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 

โดย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า International Marine time Organization (IMO) จะลดเพดานสัดส่วนกำมะถันลงเหลือ 0.5% จากเดิม 3.5% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เกณฑ์ใหม่จะทำให้สัดส่วนกำมะถันในน้ำมันเตาซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการเดินเรือของทั้งโลกลดลง ดังนั้นคาดว่าอุปสงค์น้ำมันเตาที่มีสัดส่วนกำมะถันต่ำ (low sulfur fuel oil หรือ LSFO) จะเพิ่มขึ้นขณะที่อุปสงค์น้ำมันเตาที่มีสัดส่วนกำมะถันสูง (high sulfur fuel oil หรือ HSFO) จะลดลงในอนาคต และส่งผลให่ส่วนต่างราคาระหว่างผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดห่างกันมากขึ้น

ทั้งนี้ กองเรือสามารถเชื้อเพลิงเป็น HSFO ได้แต่ต้องติดตั้ง scrubber เพื่อกำจัดกำมะถัน แต่การติดตั้ง scrubber บนเรือมีต้นทุนประมาณ USS3-5 ล้าน/ลำ ซึ่งถือว่าแพงหรือไม่คุ้มค่าโดยเฉพาะกองเรือที่เหลืออายุการใช้งานน้อย

โดยเรือส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่เป็น LSFO ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุน crack spread ของน้ำมันดีเซลให้เพิ่มขึ้นเป็น USS25/bbl จาก USS15/bbl ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ คาดว่าส่วนต่างราคาจะถูกปิดลงภายใน 2-3 ปี เมื่อมีการติดตั้ง scrubber เพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันคาดว่าทั้งโลกมี VLCC ประมาณ 60k-70k และมีเรือที่ติดตั้ง scrubber ไปแล้วประมาณ 300-400 ลำ และคาดว่าจะเพิ่มเป็นแค่ 1,700 ลำ ภายในสิ้นปีหน้า แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของกองเรือทั้งโลก ดังนั้นคาดว่ากองเรือที่เหลือจะเลือกใช้ดีเซล หรือไม่ก็เป็นเชื้อเพลิงที่เป็น LSFO

ขณะที่โรงกลั่นต่างๆต้องอัพเกรดโรงกลั่น, debottleneck, หรือเปลี่ยนเงื่อนไขทางการค้าเพื่อลดธุรกรรมในตลาด HSFO ซึ่งโรงกลั่นแต่ละแห่งจะต้องทำการศึกษาอย่างละเอียดว่าวิธีไหนที่จะคุ้มค่าที่สุด อาทิ การพิจารณาติดตั้ง, residue hydrocracking (RDCC), ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับบางโรงกลั่น เนื่องจากเป็นวิธีที่ต้องใข้เงินลงทุนสูง ดังนั้น บางโรงกลั่นก็อาจจะต้องเปลี่ยน crude slate จากกระบวนการกลั่นจาก sour crude เป็น sweet crude แทน, หรือขาย HSFO เพื่อใช้เป็น feedstock, หรือไม่ก็ใช้ผลิตยางมะตอย

ทั้งนี้ TOP น่าจะได้อานิสงส์มากที่สุดจากมาตรการของ IMO ในปี 2563 เนื่องจากมีสัดส่วน midle distiallates มากที่สุด รองลงมาคือ SPRC ในฐานะที่เป็นธุรกิจโรงกลั่นแท้ๆ ในขณะที่ IRPC กำลังสร้างท่อส่งน้ำมันที่ UHV unit เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการแปลงเป็น LSFO ทั้งนี้ PTTGC มีสัดส่วนผลผลิต HSFO สูงที่สุด และจะได้อานิสงส์จากมาตรการนี้น้อยที่สุด คาดว่า GRM จะเพิ่มขึ้น USS2/bbl +/- ขึ้นอยู่กับว่าโรงกลั่นจะสะท้อนอุปสงค์ของ middle distillates ที่เพิ่มขึ้นภายในปี 2563 ได้แค่ไหน และจะทำให้การ rerate หุ้นโรงกลั่น โดยได้ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น TOP เป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายเป็น 105 บาท (จากเดิม 83 บาท) และกลับมาดูแลหุ้น SPRC อีกครั้งด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 18.50 บาท

Back to top button