DOD ร่วง 12% หลังกำไรไตรมาสแรกหดตัว “ฟินันเซียฯ” ชี้ผลงานครึ่งหลังฟื้น เคาะเป้า 11.30 บ.

DOD ร่วง 12% หลังกำไรไตรมาสแรกหดตัว "ฟินันเซียฯ" ชี้ผลงานครึ่งหลังฟื้น เคาะเป้า 11.30 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD  ณ เวลา 11.25 น. อยู่ที่ระดับ 8.00 บาท ลบ 1.10 บาท หรือ 12.09% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 63.74 ล้านบาท  เนื่องจากกำไรไตรมาส 1/62 ปรับลดลง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า กำไรสุทธิ ไตรมาส1/62 คิดเป็นสัดส่วน 16% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้มกำไร ไตรมาส 2/62 มองว่าน่าจะยังไม่สดใสนัก ทั้งที่ปกติช่วงครึ่งแรกปี 62 มักเป็นฤดูกาลที่ดีของบริษัท เพราะยังไม่สามารถหาลูกค้ารายใหม่มาทดแทนได้ทัน ในขณะที่หลายโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่ น่าจะได้เห็นความชัดเจน และเริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ตั้งแต่ ไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป

จึงคาดหวังการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 62 ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2019 ไว้ที่ 258 ล้านบาท (-15.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และคงราคาเป้าหมายที่ 11.3 บาท (อิง PE เดิม 18 เท่า) คงคำแนะนำ ถือ รอดูการฟื้นตัวให้ชัดเจนก่อนดีกว่า

ด้านนางสาวศุภมาส อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยถึงทิศทางภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/2562 ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯมีการปรับแผนโครงสร้างทางธุรกิจ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน โดยมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ครบวงจรแบบ One Stop Service Solution

ดังนั้นจึงส่งผลให้บริษัทฯเดินเกมรุกในการต่อยอดธุรกิจ เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการที่มีความหลากหลายและครบวงจรมากขึ้น โดยการหาพันธมิตรทางธุรกิจ มาร่วมเป็น Strategic Partner เพื่อร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ให้เติบโตและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) ภายใต้การลงทุนของบริษัท ดีโอดี  เฮ้ลท์ตี้ไลฟ์ จำกัด ที่ DOD ถือหุ้นอยู่ 99.99 % เพื่อแตกไลน์ ไปสู่ธุรกิจเครื่องสำอางและสกินแคร์

รวมถึงการจัดตั้ง บริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ อัลทิมา ไลฟ์ โดย DOD ถือหุ้น 80%  ส่วนอีก 20% ถือหุ้นโดย นางสาวพรรษมนต์ ธราวิทย์ณัฐกุล ผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านการทำการตลาด ออนไลน์ และ ออฟไลน์ ที่ติดลำดับ TOP 5 ของประเทศ

นอกจากนี้ DOD ยังมีการจัดตั้งบริษัทย่อย ร่วมกับ นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ที่ถือหุ้น 49 % และ DOD ถือหุ้น 51% โดยนายอัครนันท์ เป็นผู้บริหารด้านการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด ที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องสำอาง และสกินแคร์ และมีตัวแทนจำหน่ายผ่านช่องทางตลาดออนไลน์ ทั่วประเทศ ติดอันดับ TOP 5 ของประเทศไทย

“นับตั้งแต่ DOD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ส่งผลให้บริษัทฯต้องมีการสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ๆให้กับบริษัทฯ เพื่อต่อยอดศักยภาพและความแข็งแกร่งและรากฐานรายได้ ให้มีการเติบโตแข็งแรงและยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่ของบริษัทฯ

โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี2561 ที่ผ่านมา ที่เราได้เข้าไปลงทุน โดยการซื้อกิจการ PCCA เพื่อขยายและแตกไลน์ธุรกิจไปสู่ธุรกิจเครื่องสำอางและสกินแคร์ ขณะเดียวกันยังผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจหลากหลาย โดยจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อขยายเครือข่ายในการเพิ่มช่องทางการขายสินค้า ให้ครอบคลุมผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการก้าวสู่การให้บริการแบบ One Stop Service Solution

ทั้งนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตให้ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน ดังนั้นทุกการลงทุนของ DOD ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะไม่เห็นได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่เราก็เชื่อว่า การลงทุนในวันนี้ ก็เพื่อที่จะรอวันที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตที่จะเกิดขึ้นในรูปแบบของผลตอบแทน ด้านรายได้ และ กำไร ในวันข้างหน้า ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการ หว่านพืช เพื่อที่จะหวังผล ซึ่งเชื่อว่าผลผลิตที่จะออกมา เราจะได้เห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ อย่างมีนัยสำคัญ” นางสาวศุภมาส กล่าว

โดยเชื่อว่าหลังจากแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจในข้างต้น จะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของ DOD ในปี 2562 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% จากปีก่อนที่มีรายได้  673.12 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน โดยล่าสุด บริษัทฯได้รับออเดอร์ ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทคอลลาเจน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้าล็อตแรก ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

รวมถึง ยังได้รับออเดอร์ใหม่ สำหรับผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อวางจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกทั่วประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคาดว่า จะทยอยส่งมอบ พร้อมวางจำหน่ายได้ ช่วงปลายไตรมาส 2/2562 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีออเดอร์ ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีการนำไปจำหน่าย ผ่านช่องทาง TV Shopping

ส่วนบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ อัลทิมา ไลฟ์ นั้น ล่าสุดมีออเดอร์ในการผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าเข้ามาแล้วคิดเป็น มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ในขณะที่บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) ล่าสุด บริษัทฯมีออเดอร์ที่อยู่ระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ในหลากหลายชนิดผลิตภัณฑ์ อาทิ ครีมกันแดด แผ่นมาร์คหน้า ลิปสติก ครีมรองพื้น โฟมล้างหน้า ครีมสครับหน้า โลชั่นกันยุงสำหรับเด็ก เป็นต้น  ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทั้งหมดในข้างต้น คาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบได้ภายในปลายไตรมาส 2/2562 หรือ อย่างช้าไม่เกินไตรมาส 3/2562

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จากออเดอร์ดังกล่าวที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายไตรมาส 2/62 นั้น จะส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 บริษัทฯจะมีรายได้เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ และด้วยแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อร่วมลงทุนในการพัฒนาและการผลิตผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตลอดจนการช่วยเพิ่มช่องทางการตลาด ในการขยายธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์และรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า

โดยบริษัทร่วมทุน ดังกล่าว DOD จะถือหุ้น 51% ส่วนอีก 49% ถือหุ้นโดย นางสาวธิวาภรณ์ จิตกล้า ซึ่งเป็นนักธุรกิจ วัย 26 ปี ชื่อดัง ภายใต้เจ้าของธุรกิจสบู่โฮยอน (Ho-YEON) ที่มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วแตะ 300 ล้านบาท จนได้รับฉายาว่า “โอ๋ โฮยอน อายุน้อยร้อยล้าน” โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่คร่ำหวอด ในการเป็นผู้นำด้านการตลาดออนไลน์ ที่มีตัวแทนขายทั่วประเทศ จำนวนกว่า 100,000 ราย

ขณะที่ผลการดำเนินงาน ประจำงวดไตรมาส 1/62 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 123.13 ล้านบาท ลดลง 42.61 %กำไรสุทธิ 41.40 ล้านบาท ลดลง 62.77% เมื่อเทียบกับจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานลดลงเนื่องจาก บริษัทฯมีแผนในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่ โดยการมุ่งเน้น ขยายไปยังไลน์ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ รวมถึงยังเป็นการขยายช่องทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มของรายได้ เข้ามาในบริษัทฯ

ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางและสกินแคร์ แบบครบวงจร ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่องทางที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น  ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ทั้งหมด ซึ่งแผนกลยุทธ์ดังกล่าวจะเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง และจะส่งผลให้ภาพรวมทางธุรกิจของ DOD มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งนั่นก็จะเป็นไปตามแผนนโยบาย ของบริษัทฯที่เคยให้ไว้ว่า จะเป็นบริษัทฯที่มีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในอนาคต

Back to top button