พาราสาวะถี

น่าจะเป็นเพราะอารามดีใจจากการที่เห็น 11 พรรคจิ๋วลงนามสัตยาบัน สนับสนุนพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมชู พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอกกระมัง จึงทำให้ผู้นำเผด็จการอารมณ์ดี ยิ้มหน้าบาน พูดจ๊ะจ๋ากับนักข่าวพร้อมกับตอบคำถามเรื่องการระดมเสียงของการสืบทอดอำนาจเป็นครั้งแรกว่า กำลังทำกันอยู่ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณกลาย ๆ ผู้นำประเทศคนต่อไปต้องบิ๊กตู่เท่านั้น


อรชุน

น่าจะเป็นเพราะอารามดีใจจากการที่เห็น 11 พรรคจิ๋วลงนามสัตยาบัน สนับสนุนพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมชู พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอกกระมัง จึงทำให้ผู้นำเผด็จการอารมณ์ดี ยิ้มหน้าบาน พูดจ๊ะจ๋ากับนักข่าวพร้อมกับตอบคำถามเรื่องการระดมเสียงของการสืบทอดอำนาจเป็นครั้งแรกว่า กำลังทำกันอยู่ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณกลาย ๆ ผู้นำประเทศคนต่อไปต้องบิ๊กตู่เท่านั้น

ไม่ต่างจากพี่ใหญ่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่วันวานก่อนการประชุมครม.ที่เหลือแค่ 17 หน่อ ก็ตอบคำถามนักข่าวด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จับอาการแล้วบ่งบอกได้ว่าน่าจะเป็นแนวโน้มแฮปปี้ แม้ปากจะบอกว่า ไม่รู้ เขายังไม่ให้เก้าอี้อะไร ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่เดิมหรือไม่ แต่พอถามว่ามีปัญหาสุขภาพอะไรหรือเปล่า ก็ยืนยันหนักแน่นไม่เป็นอะไร ยิ่งการตอบคำถามว่าไม่รู้ว่าตัวเองจะวางมือทางการเมืองหรือไม่ ยิ่งเป็นตัวบ่งบอกอะไรหลาย ๆ อย่างได้เป็นอย่างดี

นาทีนี้ต้องเข้าใจว่า บรรยากาศหรือทิศทางลมมันเป็นใจให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจ นับตั้งแต่เห็นการประกาศรายชื่อส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของกกต.ชุดสั่งได้ เพียงแต่ว่า เมื่อหันกลับมาพิจารณาเรื่องตัวเลขของพรรคที่คณะเผด็จการหนุนหลังเบ็ดเสร็จได้มา 115 ที่นั่ง แล้วหันกลับไปมองที่พรรคตัวแปรสำคัญอย่าง ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย พ่วงเข้ากับชาติไทยพัฒนา ตัวเลขรวมกันอยู่ที่ 113 ที่นั่ง ตัวเลขอย่างนี้คนที่ถนัดเรื่องการต่อรอง โดยเฉพาะเซียนการเมืองย่อมรู้ว่าหมายถึงอะไร

ไล่เรียงดูหากเป็นสูตรขั้วการเมืองพลังประชารัฐและพรรคลิ่วล้อจิ๊บจ้อยทั้งหลายบวกกับ 113 ที่นั่ง พลังในการยื่นหมูยื่นแมวนั้น ย่อมตกอยู่ที่ 3 พรรคดังว่า แต่เมื่อการเจรจาพรรคที่มีเก้าอี้สูสีกับฝ่ายที่จะเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายยังคงขี้เหนียว เกาะเก้าอี้กันแน่น ไม่ว่าจะกระทรวงด้านความมั่นคงทั้งกลาโหมและมหาดไทยที่ขอไว้ให้พี่ใหญ่และพี่รองไปต่อ กระทรวงเกรดเอทั้งหลายก็จะหวงไว้สร้างผลงานและกระจายให้กับขาใหญ่ที่ได้ตกลงกันไว้ตอนสร้างพลังดูด

หากสถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะนี้ เชื่อได้เลยว่า โอกาสที่พรรคสืบทอดอำนาจจะพลาดหวังก็มีความเป็นไปได้ ไม่มีทางที่นักการเมืองและพรรคการเมืองเขี้ยวลากดิน จะยอมเห็นแก่ข้ออ้างที่ว่าเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ แล้วส่งคนระดับเกรดเอของตัวเองไปนั่งเสนาบดีระดับเกรดบี เกรดซี ถ้ายอมเช่นนี้ในทางการเมืองถือว่าไร้ศักดิ์ศรี และเป็นการไม่ให้เกียรติกันของพรรคแกนนำ ทั้ง ๆ ที่มีเก้าอี้ส.ส.ต่างจาก 3 พรรคตัวแปรแค่ 2 ที่นั่ง

ดังนั้น การเจรจาแบบตรงไปตรงมาสไตล์ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในวันที่ไปเจอ อนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมคณะส.ส.ภูมิใจไทยชุดใหญ่โดยมิได้นัดหมายที่กกต. ถือว่าใจถึง เพราะสิ่งที่หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเอ่ยวาจานั้น มันเหมือนการเห็นภาพการเจรจาของอีกวงหนึ่งว่าเป็นอย่างไร การยืนยันว่าพร้อมหนุนเสี่ยหนูเป็นนายกฯ และก็จะยกกระทรวงคมนาคมให้แบบไร้ปัญหา โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยอมแน่นอน นี่ย่อมเป็นการตีที่ถูกจุด

การยืนยันเสียงแข็งของเสี่ยหนูว่าไม่ได้เจรจาหรือพูดคุยใด ๆ กับพลังประชารัฐ หากไม่ใช่แค่มารยาททางการเมือง ก็เป็นเหมือนการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างทางการเมืองได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขั้วที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำตัวให้เหนือเพื่อความได้เปรียบในการต่อรอง บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง พรรคสืบทอดอำนาจเมื่อประสงค์จะไปต่อ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ต้นทุนที่จะต้องใช้นั้นมันสูงยิ่งกว่า 5 ปีที่ผ่านมา เพราะอำนาจเผด็จการนั้นสามารถทุบโต๊ะเปรี้ยงแล้วได้ดั่งใจ

แต่พลันที่ก้าวขาเข้าถนนสายการเมืองที่เป็นการเมืองอาชีพอย่างแท้จริง ทุกอย่างไม่มีคำว่าเอื้ออาทรหรือยอมกันโดยง่าย ยิ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ถูกกดทับ แต่ละคนล้วนแล้วมีเรื่องให้เจ็บช้ำน้ำใจกันมาทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน สิ่งที่เคยได้ไปในช่วงของการใช้อำนาจก็ถึงเวลาที่จะต้องมาทอนคืนให้กันบ้าง นี่แค่พรรคเดียวแม้จะไม่ใช่พรรคเก่าแก่ แต่ถือว่าชั้นเชิงในการเจรจาถ้ามองไปยังคนเบื้องหลังที่เวลานี้ไปเอาดีทางด้านสโมสรฟุตบอล ก็ต้องบอกว่าไม่มีทางที่จะตกเป็นเบี้ยล่างหรือปล่อยให้อีกฝ่ายเอาเปรียบได้แน่นอน

ยังไม่นับรวมฟากฝั่งของประชาธิปัตย์ ที่วันนี้จะรู้ตัวว่าใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่ผ่านมาเห็นวิสัยทัศน์ของ 3 คู่แข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น กรณ์ จาติกวณิช อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ถือว่าไม่ธรรมดา แม้รักษาการหัวหน้าพรรคอย่าง “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิฏฐ์ จะไม่ออกหมัดเหมือนคู่แข่ง แต่ถูกจับตามองว่านี่แหละสเปคผู้นำพรรคที่คนเก่าแก่ทั้งหลายต้องการ ยิ่งเห็นเลขาฯ หน้าเดิมอย่าง เฉลิมชัย ศรีอ่อน แล้วถือเป็นทีมที่เป็นต่อคู่แข่งอยู่พอสมควร

หลังจากที่ได้คณะผู้บริหารชุดใหม่แล้ว ก่อนจะไปสู่การเจรจาเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีกับพรรคสืบทอดอำนาจ คงต้องมาวัดพลังกันในส่วนของทีมบริหารและส.ส.ทั้งหมดของพรรคกันก่อนว่า มีแนวโน้ม ทิศทางที่จะร่วมกันเดินไปในทางใด ถ้าตัดสินใจเข้าร่วมก็หมายถึงสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตของพรรคเก่าแก่จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่ พลังดูดของพรรคที่จะไปร่วมงานด้วยทำให้เห็นแล้วว่าคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

ถ้ายังไปเดินตาม แม้จะได้ตำแหน่งตามที่ปรารถนา ถามว่าคุ้มกันหรือไม่กับทางเดินของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าพรรคสืบทอดอำนาจเข้มแข็งขึ้นและเสนอตัวเป็นทางเลือกของฝ่ายอนุรักษ์นิยม การจะฟื้นพรรคเก่าแก่ ให้กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมก็ถือเป็นเรื่องยาก ดังนั้น โจทย์ของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จึงไม่ได้จบที่แค่ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับฝ่ายสืบทอดอำนาจเท่านั้น นี่คืออีกหนึ่งความยากของคนที่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นจากกลไกที่วางไว้ บอกแล้วว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องหมู ๆ

สุดท้าย การเข้ามาของ 11 พรรคเล็ก ก็มีพวกอีโก้สูงรีบกระทุ้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยว่าอย่าลีลาต่อรองกันให้มาก จน ศุภชัย ใจสมุทร ต้องออกมาตอกกลับแรง ๆ ขอให้พูดเฉพาะเรื่องพรรคตัวเอง โปรดรักษามารยาทอย่าพูดเรื่องพรรคอื่น ภูมิใจไทยมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติในทางการเมือง จึงอย่าได้ได้ริบังอาจแสดงวาจาที่ไม่บังควรต่อพรรคเช่นนี้ พรรคสืบทอดอำนาจคงต้องไปอบรมพวกหน้าใหม่ที่ได้เสียงมาหนุน การเป็นนักการเมืองไม่ใช่แค่มีปากไว้พูด แต่ต้องมีสมองไว้กลั่นกรองไตร่ตรองทุกเรื่องก่อนที่จะพูดด้วย

Back to top button