เปิดกลยุทธ์พิชิตหุ้นเดือนก.ค. ชู 7 ตัวท็อปพร้อมเด้งรับปัจจัยบวก

เปิดกลยุทธ์พิชิตหุ้นเดือนก.ค. ชู 7 ตัวท็อปพร้อมเด้งรับปัจจัยบวก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับการลงทุนในเดือนก.ค. เพื่อเป็นแนวทางการลงทุน โดยพบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ได้รับแรงหนุนจาก นโยบายการเงินผ่อนคลายของ FED และ ECB หนุนสภาพคล่อง ขณะที่มีปัจจัยบวกจากเรื่องสงครามการค้าของสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะยุติลง และจะทําให้ตลาดให้น้ำหนักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น

นอกจากนี้ แนะนำลงทุนหุ้นที่จ่ายปันผลในอัตราสูง ทั้งนี้หุ้นแนะนำในเดือน ก.ค. ได้แก่ STEC, CPALL, GLOBAL, BGRIM, MBK, LPN และ PSH

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (1 ก.ค.62) โดยมองว่า แนวโน้มตลาดเดือน ก.ค.  คาด “UP” โดยแนวโน้มการลงทุนเดือนแรกของครึ่งหลังปี 2562 ได้รับแรงหนุนจาก

1) นโยบายการเงินผ่อนคลายของ FED และ ECB หนุนสภาพคล่อง และจะทําให้ตลาดให้น้ำหนักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุม 30-31 ก.ค.

2) นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ของจีนจะส่งผลบวกต่อกลุ่มประเทศในเอเชีย คาดว่าหลังสหรัฐฯใช้ภาษีการค้ากับจีน แสนล้านเหรียญฯ ปลายไตรมาสน่าจะเห็นความต่อเนื่อง

3) ตลาดเอเชียและไทยมัก Outperform ช่วงที่ FED เริ่มลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง โดย SET มักขยับขึ้น 13.1 – 22.3% น่าจะทําให้ SET มีโอกาสทําจุดสูงสุดใหม่ได้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 62

4) คาดนายกฯ ตรวจสอบคุณสมบัติ คณะรัฐมนตรี แล้วยืนทูลเกล้าฯสัปดาห์นี้ราวกลางเดือนจะได้ทีมบริหารประเทศที่มาจากระบบรัฐสภา หนุนความเชื่อมั่นจากต่างชาติ ล่าสุดค่าประกันความเสียง (CDS) 5 ปีของไทย ลดลงต่อเนื่อง และเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2006-2007 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ S&P เครดิต ได้ปรับเครดิตไทยขึ้นดังนั้นมีโอกาสที่เราจะเห็น S&P หรือ Moody’s พิจารณาปรับเพิ่ม เครดิต ไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 ถึง ครึ่งปีแรกของปี 63

5) การ Rebalance ของ MSCI รอบล่าสุด ที่มีการปรับเพิมน้ำหนัก ของตลาดหุ้นไทย  พ.ค.  ที่ทําให้การเข้ามาของเงิน Passive Fund ที่ลงทุนตาม MSCI วันนั้นกว่า แสนล้านบาท ช่วยซับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติระยะยาวทีต้องการขายหุ้นไทยจนทําให้เกิดภาพ Under-Owned ของต่างชาติอย่างแท้จริง และ 6) เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากภายใน จากการขับเคลื่อนของรัฐบาล และระบบตัวแทนจะช่วยให้เศรษฐกิจโตกระจายดีขึ้น ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่ต้องติดตาม คือ ผลประกอบการบริษัทไตรมาส

กลยุทธ์ลงทุน: คาดตลาด “ขึ้น” รับทีมบริหารประเทศที่มาจากระบบรัฐสภา และ FED มี โอกาสลดดอกเบี้ยปลายเดือน หนุน SET ทดสอบต้าน 1767/1800จุด แนะนําถือหุ้น .% ของพอร์ต เดือนนี้เน้น Domestic Play การตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการจะหนุน EEC (AMATA, WHA) อิงการลงทุน STEC, CK, SCC, TOA, TASCO, PYLON การบริโภค CPF, CPALL, ZEN, SABINA, ROBINS ธนาคาร SCB BBL, KBANK หุ้นได้ประโยชน์จาก วงจรดอกเบียคง/ลง SAWAD, AMANAH และ Small Play : ได้แก่ KAMART, ICHI, SABINA, JUBILE, PSTC, STPI สําหรับ Portfolio Top Picks JULY 2019 แนะนํา SCB, STEC, TASCO, STPI, SABINA, AMANAH, CPF ส่วน Dark House : AMATA, ICHI, TOA, TFG, KAMART

สำหรับปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อตลาดในเดือน ก.ค. 2562 (+) TH :  การเมืองไทย – คาดรายชื่อครม.จะขึ้นทูลเกล้ากลางเดือนก.ค. ซึ่งน่าจะทําให้ รัฐบาลใหม่เริมบริหารประเทศตั้งแต่ครึ่งหลังของเดือน  และคาดจะเร่งทํางบประมาณ ปี2563 และขึ้นค่าแรงขันต่ำ (+) TH : ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี ของ Fund Flow พบว่า เดือนกรกฎาคม Flow มักจะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย ด้วยมูลค่าเฉลี่ยราว 6,909 ล้านบาท

โดยโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเป็นยอดซื้อสุทธิที่ 70% (+) TH : ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี ของ SET Return พบว่า เดือนกรกฎาคม SET มีผลตอบแทนเฉลี่ยราว +3.0% ด้วยความน่าจะเป็น 80%  (+) TH : ดัชนีเศรษฐกิจ TH ที่น่าติดตาม 1 Jul :  CPI  (Jun) / 4Jul : Consumer Confidence(Jun) / 22Jul : Custom Export  (Jun) / 31Jul : Trade Balance (Jun)

 

ด้าน นายวิสูตร พาราทิพย์เจริญชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง บล.โกลเบล็ก (GBS) เปิดเผยว่า จากการออกและเสนอขาย “หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง” ไปแล้วเมื่อต้นปี 2562 และได้เพิ่มหลักทรัพย์อ้างอิงใหม่ในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงทุกประเภทที่บริษัทออกและเสนอขายเพิ่มขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนกลุ่มลูกค้าเดิมของทางบริษัท และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจในตัวผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่าน SET Index ปรับขึ้นประมาณ 100 จุด ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอสมควร เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ทาง GBS จึงแนะนำให้ลงทุนใน หุ้นกู้ทีมีอนุพันธ์แฝง  GBS 12 หรือ “Structured Note” ซึ่งมีระยะการลงทุน 1 เดือน  คุ้มครองเงินลงทุน 80%  ให้ผลตอบแทนสูงถึง 7-12% ต่อปี  และลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000  บาทเท่านั้น

สำหรับหุ้นกู้ทีมีอนุพันธ์แฝง GBS 12 หรือ “Structured Note” และให้ผลตอบแทนก่อนภาษีที่น่าสนใจในเดือนกรกฎาคม ประกอบด้วยอ้างอิงหุ้น  DELTA ให้ผลตอบแทนก่อนภาษี 10.63 ต่อปี, อ้างอิงหุ้น SAWAD ให้ผลตอบแทนก่อนภาษี 10.62 ต่อปี, อ้างอิงหุ้น TOA ให้ผลตอบแทนก่อนภาษี 10.13  ต่อปี, อ้างอิงหุ้น  MTC ให้ผลตอบแทนก่อนภาษี 10.01  ต่อปี, อ้างอิงหุ้น KTC ให้ผลตอบแทนก่อนภาษี 10.01 ต่อปี อย่างไรก็ตามผลตอบแทนข้างต้นมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาะตลาด

“หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงของทางบริษัทที่ออกและเสนอขายแล้วนั้นหลักทรัพย์อ้างอิงจะอยู่ใน SET50 เป็นหลักโดยเลือกหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและราคาสอดคล้องกับการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงเพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับประสบการที่ดีในการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงของบริษัท” นายวิสูตร กล่าว

นอกจากนี้หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ของ GBS เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้และคุ้มครองเงินลงทุน 80 % โดยลักษณะหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงของบริษัทที่ออกและเสนอขายนั้น หลักทรัพย์อ้างอิงจะเป็นหุ้นใน SET 50 เป็นหลัก ซึ่งเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและสภาพคล่องสูง โดยบริษัทมีหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงทั้งหมด 12 ประเภทโดยจะครอบคลุมทุกสภาวะตลาด นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ ตามวัตถุประสงค์ในการจัดพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า SET Index จะซื้อขายในกรอบจำกัดในเดือนก.ค. เนื่องจากปัจจัยบวกจากภายนอกประเทศ เช่นท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของทั้ง ธ.กลางสหรัฐฯ และ ธ.กลางยุโรปได้สะท้อนในค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และ valuations หุ้นไทยที่สูงขึ้นไปมากแล้ว ซึ่งจากการวิเคราะห์ earnings yield gap และความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับ forward P/E ของหุ้นไทย เราคิดว่ามูลค่าหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปได้ไม่เกิน P/E 16.5 เท่า หรือเท่ากับ SET Index ที่ 1,740 จุดอิง EPS ปี 2562 ที่ 105.5 จุด ดังนั้น นักลงทุนจึงน่าจะเตรียมตัวสำหรับตลาดหุ้นที่จะชะลอความร้อนแรง และเน้นหุ้นที่ออกแนวเสี่ยงต่ำเป็นหลัก โดยหุ้นเด่นในเดือนนี้ได้แก่ STEC*, CPALL*, GLOBAL*, BGRIM*, MBK*, LPN* และ PSH*

หุ้นแนะนำเดือน ก.ค. – เตรียมรับมือตลาดที่น่าจะชะลอความร้อนแรง

พอร์ตจำลองหุ้นแนะนำเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 9.7% และแข็งแกร่งกว่า SET Index เล็กน้อย

หุ้นแนะนำ 7 ตัวในพอร์ตจำลองเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 9.7% ดีกว่าดัชนี SET ที่ขยับขึ้น 6.9% ซึ่งหุ้นที่ปรับขึ้นโดดเด่นที่สุดคือหุ้นเชื่อมโยงปัจจัยภายในประเทศในกลุ่มการเงิน, พาณิชย์ และรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับการบริโภคภาคเอกชนที่ยังดูดีและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยในบรรดาหุ้นแนะนำดังกล่าว มีเพียง STEC* ตัวเดียวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดรวม โดย STEC ปรับขึ้น 5.9% ในเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 พอร์ตหุ้นแนะนำมีผลตอบแทนสะสมรวม 19.2% สูงกว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดโดยรวมซึ่งอยู่ที่ 10.7%

มุมมองตลาดหุ้นเดือน ก.ค. – ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังด้านบวกต่อปัจจัยภายนอกไปมาก คาดว่า SET Index น่าจะพัก และซื้อขายในกรอบที่จำกัด

โดยมองว่าท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของทั้ง ธ.กลางสหรัฐฯ และ ธ.กลางยุโรปได้สะท้อนในค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และ valuations หุ้นไทยที่สูงขึ้นไปมากแล้ว ซึ่งจากการวิเคราะห์ earnings yield gap และความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับ forward P/E ของหุ้นไทย เราคิดว่ามูลค่าหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปได้ไม่เกิน P/E 16.5 เท่า หรือเท่ากับ SET Index ที่ 1,740 จุดอิง EPS ปี 2562 ที่ 105.5 จุด ทั้งนี้การทำข้อตกลงสงบศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ รวมถึงการยกเลิกการแบน บ. หัวเว่ยชั่วคราวที่การประชุม G-20 เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้อยู่แล้ว ทำให้จุดสนใจของผู้เล่นในตลาดขณะนี้หันไปที่การตัดสินใจของ ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมปลายเดือนนี้ อย่างไรก็ตามตลาดการเงินขณะนี้ตั้งความกับเฟดไว้ค่อนข้างสูง โดยเฟดฟันด์ฟิวเจอร์คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 0.5% ในวันที่ 31 ก.ค. ซึ่งมีความเสี่ยงที่ตลาดจะผิดหวังได้ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ของเรามองว่าเฟดจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนนี้

หุ้นแนะนำเดือน ก.ค. – ปรับพอร์ตลดความเสี่ยงบ้าง เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำและหุ้นเชื่อมโยงปัจจัยภายใน

เนื่องจากมองว่า SET Index มีทางขึ้นจำกัด และฟันด์โฟลว์ต่างชาติอาจผันผวนมากขึ้นตามค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าได้อีกไม่มาก เราแนะนำให้นักลงทุนเตรียมรับตลาดหุ้นที่จะชะลอตัวลงในเดือนนี้ และหลีกเลี่ยงหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือปรับพอร์ตลดน้ำหนักหากมีหุ้นพวกดังกล่าวอยู่ โดยธีมการลงทุนของเราในเดือนนี้ได้แก่ i) หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการประกาศรายชื่อ ครม. และความมั่นใจต่อการเมืองภายในประเทศ ii) หุ้นกลุ่มการบริโภคซึ่งจะได้อานิสงส์จากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงเติบโตเด่น YoY และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐบาล  iii) หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรชัดเจน (earnings visibility) และผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งในปี 2562 และ iv) หุ้นที่จ่ายปันผลในอัตราสูง ทั้งนี้หุ้นแนะนำในเดือน ก.ค. ได้แก่ STEC*, CPALL*, GLOBAL*, BGRIM*, MBK*, LPN* และ PSH*

Back to top button