Q4 ปีนี้แย่เหมือนปีที่แล้ว ?

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาสสี่โดยต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวในสหรัฐฯ แต่ตลาดได้ฟื้นตัวกลับมาในสัปดาห์นี้หลังจากที่รายงานการจ้างงานในสหรัฐฯ เป็นบวก อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ยังคงอยู่ มิหนำซ้ำข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปเริ่มแสดงความอ่อนแอโผล่มาให้เห็นมากขึ้น ภาวะเช่นนี้จึงไม่น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี


พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาสสี่โดยต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งเดือนเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวในสหรัฐฯ แต่ตลาดได้ฟื้นตัวกลับมาในสัปดาห์นี้หลังจากที่รายงานการจ้างงานในสหรัฐฯ เป็นบวก อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ยังคงอยู่ มิหนำซ้ำข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปเริ่มแสดงความอ่อนแอโผล่มาให้เห็นมากขึ้น ภาวะเช่นนี้จึงไม่น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี

ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ไตรมาสสี่อาจจะไม่ราบรื่นและมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ตลาดหุ้นจะเจอกับเซอร์ไพรส์หลายอย่าง แต่ก็น่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการฆาตกรรมหมู่แบบปีที่แล้วได้

ภาวะตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันแรกของไตรมาสสี่ปีนี้ อาจจะทำให้นักลงทุนหวนนึกถึงความวุ่นวายในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว ซึ่งดัชนีทุกตัวของสหรัฐฯ เริ่มต้นไตรมาสสี่อย่างเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2551

อย่างไรก็ดี ปีที่แล้วกับปีนี้มีปัจจัยที่แตกต่างกันอยู่จำนวนหนึ่ง

ในปีที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 เพิ่มขึ้น 1.42% ที่ระดับ 26,598 จุด แต่พอสามเดือนต่อมาดัชนีปรับตัวลง 12% ลงไปอยู่ที่ระดับ 24,000 จุด แต่ในปีนี้ เมื่อดูจากข้อมูลจนถึงวันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามตัวปรับตัวขึ้นอย่างว่องไวนับตั้งแต่ต้นปี

ตลอดปี 2561 ธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยและปล่อยให้งบดุลลดลง สภาพคล่องหายไปจากตลาด ในตอนนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไป โดยคาดว่าจะขึ้นหนึ่งครั้งในเดือนธันวาคม 2561 และอาจจะขึ้นอีก 4 ครั้งในปีนี้ แต่ในความเป็นจริงเฟดได้ระงับการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ หุ้นจึงฟื้นตัวกลับมา

แต่พอถึงเดือนพฤษภาคมหลังจากที่มีข่าวออกมาว่าไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้าสำคัญของจีนเพิ่ม ตลาดก็ได้แกว่งตัวตามพัฒนาการการเจรจาการค้านับตั้งแต่นั้นมา และธุรกิจได้ระงับแผนการที่จะขยายกิจการ และเกิดผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก

ตลาดยังเผชิญกับความท้าทายอื่น ๆ อีกในช่วงไตรมาสสี่ของปีนี้ เช่น เบร็กซิตก็ยังไม่แน่นอน มีข้อมูลที่ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชะลอตัวเหมือนภูมิภาคอื่น ๆ ได้อีกต่อไป และยังมีการสอบสวนเพื่อพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ และภายในกลางไตรมาสสี่ ก็จะเหลือเวลาอีกปีเดียวที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ดังนั้นการเลือกตั้งจึงอาจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดผันผวนได้

นักวิเคราะห์มองว่า ความพยายามของส.ส.พรรคเดโมแครตที่จะถอดถอนทรัมป์ อาจทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้นแต่ในท้ายที่สุด วุฒิสภาซึ่งมีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ คงจะลงมติให้ทรัมป์พ้นผิดอยู่ดี ซึ่งหุ้นจะกลับมาดีเหมือนสมัยบิล คลินตัน

ปัจจัยสำคัญสุดต่อตลาดในไตรมาสนี้จึงน่าจะยังคงอยู่ที่เรื่องการค้า

การเจรจาระดับสูงระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ได้สร้างความหวังให้กับตลาดไว้มาก

แต่ก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้นไม่กี่วัน ข่าวร้ายก็เริ่มผุดมาเป็นระยะ ๆ

ผู้เจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ ในระดับผู้ช่วยได้เจรจาเป็นเวลาสองวันกันก่อนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเพื่อปูทางให้กับการเจรจาในระดับรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดีนี้ แต่แนวโน้มที่การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯจะมีความคืบหน้าได้ดับไปหลังจากที่รัฐบาลวอชิงตันขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีนจำนวนหนึ่งที่ช่วยให้รัฐบาลปักกิ่งกดดันต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิมในมณฑลซินเจียง

นอกจากนี้ทรัมป์ออกมาพูดเองว่า ไม่น่าจะได้ข้อตกลงการค้าโดยเร็ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจีน 250,000 ล้านดอลลาร์จาก 25% เป็น 30% ตามกำหนดในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ เพราะทรัมป์เคยพูดไว้ว่าการขึ้นภาษีจะมีผลตามกำหนดหากการเจรจาไม่คืบหน้า

นักวิเคราะห์เจ.พี.มอร์แกน ได้คาดการณ์ถึงพัฒนาการที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเจรจาการค้าไว้ 4 แนวทางด้วยกัน คือ 1.การประชุมสามารถทำลายความเย็นชาลงได้ จนนำไปสู่การทำข้อตกลงที่สำคัญในเดือนที่จะมาถึง 2.จะได้ “ข้อตกลงชุดเล็ก” ที่เน้นไปที่จีนซื้อสินค้าสหรัฐฯ และปฏิรูปโครงสร้างส่วนหนึ่งในขณะเดียวกันก็เลื่อนการขึ้นภาษีใหม่ไปโดยไม่มีกำหนด 3.ไม่มีข้อตกลงเช่นในปัจจุบันและอัตราภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ แต่เจรจากันต่อไป และ 4.สถานการณ์ถึงขั้นแตกหัก ไม่มีข้อตกลงและไม่มีการเจรจาเพิ่ม

นักวิเคราะห์เจ.พี.มอร์แกนคาดว่าสถานการณ์ในข้อสามน่าจะเป็นไปได้มากสุดในขณะที่นักลงทุนในตลาดตั้งความหวังไว้สูงว่าจะได้ข้อตกลงชุดเล็ก

ถ้าผลการเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ ออกมาเป็นอย่างที่ตลาดตั้งความหวังไว้ (แม้จะไม่ได้ข้อตกลงที่สมบูรณ์ตามที่ทรัมป์วาดหวัง) ธนาคารกลางสหรัฐประกาศลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปลายเดือนนี้ และผลกำไรไตรมาสสามที่จะเริ่มทยอยออกมาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้ออกมาดี  ไตรมาสสี่ปีนี้ ก็ไม่น่าจะเลวร้ายเหมือนกับปีที่ผ่านมา เว้นเสียแต่ว่าทุกปัจจัยที่เอ่ยมาข้างต้น จะพลิกล็อกถล่มทลาย หรือมีปัจจัยอื่นมาแทรกอย่างรุนแรง

Back to top button