BSBM ราคาอ่อนตัวรับข่าวลบมากแล้วครึ่งปีหลังมีลุ้น Turnaround ทำกำไร!

BSBM ผลประกอบการ Q2/58 ยังขาดทุนอยู่ แต่ดีขึ้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาสก่อนหน้า โดยแรงกดดันหลักยังเป็นเรื่องของราคาเหล็กเส้นที่ตกต่ำ ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะดีขึ้นจากการรุกตลาดเหล็กเส้นข้ออ้อย และ Metal Spread ที่กว้างขึ้น


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (23 ก.ค.) ว่า ฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการไตรมาส 2/58 ของ BSBM จะยังมีผลขาดทุนสุทธิต่อเนื่องราว 19 ล้านบาท แต่ดีกว่าไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสูงถึง 43 ล้านบาท โดยประเมินปริมาณขายเหล็กเส้นในไตรมาส 2/58 ที่ 2.5 หมื่นตัน ทรงตัวจากไตรมาสก่อน เป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจ และภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ฟื้นตัวช้า

ส่วนราคาเหล็กเส้นในประเทศยังถูกกดดันจากทิศทางราคาเหล็กในตลาดโลกที่อยู่ในภาวะขาลง หลังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนมากขึ้น (จีนเป็นผู้ผลิต และบริโภคเหล็กรายใหญ่สุดของโลก)
เมื่อประกอบกับดีมานต์เหล็กเส้นในประเทศที่ซบเซา จึงทำให้ฝ่ายวิจัยคาดราคาขายเหล็กเส้นเฉลี่ยของ BSBM ในไตรมาส 2/58 ที่ระดับ 1.68 หมื่นบาท/ตัน ปรับลดลง 4% จากไตรมาสก่อน

ด้าน Gross Margin ถึงแม้ว่าการซื้อวัตถุดิบเหล็กแท่งยาว (Billet) ต้นทุนต่ำราว 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน เข้ามา จะช่วยให้ต้นทุนถัวเฉลี่ยปรับลดลง อีกทั้งยังมีการโอนกลับรายการตั้งค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือคืนมาราว 20 ล้านบาท แต่เชื่อว่าปัจจัยบวกทั้ง 2 รวมกันยังไม่สามารถชดเชยราคาเหล็กเส้นที่ปรับลงได้ จึงทำให้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ Gross Margin ในไตรมาส 2/58 จะยังติดลบอยู่ราว 1%

 

คาดแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังของปี 2558 จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับขั้น โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงสายการผลิตเหล็กเส้นข้ออ้อยที่เสร็จสิ้นไปแล้วช่วงกลางปี ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและทำให้ผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นข้ออ้อยของ BSBM สามารถแข่งขันในตลาดได้ จากเดิมที่ BSBM จะเน้นไปที่เหล็กเส้นกลมเป็นหลัก

ด้านราคาเหล็กถึงแม้จะยังฟื้นตัวได้ช้า แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาเหล็กเส้นในประเทศไม่น่าจะปรับลงไปต่ำกว่าระดับ 1.6 หมื่นบาท/ตัน ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ Billet ต้นทุนแพงได้ถูกทยอยใช้ไปหมดแล้ว และราคา Spot การซื้อ Billet ล็อตใหม่ขณะนี้มีราคาถูกเพียง 350 เหรียญ/ตัน จึงเชื่อว่าจะทำให้ส่วนต่างราคาเหล็ก (Metal Spread) และ Gross Margin กว้างขึ้นหนุนให้ผลประกอบการโดยภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 มีโอกาสที่จะ Turnaround กลับมาทำกำไรได้

 

ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานอิง PBV 0.77 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ได้ราคาเหมาะสมที่ 1.27 บาท แม้ไตรมาส 2/58 จะยังขาดทุนอยู่ แต่เชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว อีกทั้งแนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จึงปรับคำแนะนำจาก ขาย เป็น ถือ

 

 

Back to top button