HPT วิ่งฉิว 6.45% ตั้งเป้ารายได้ปี 63 โต 30% หลังออกผลิตภัณฑ์ใหม่-จ่อเพิ่มกำลังผลิต 10%

HPT วิ่งฉิว 6.45% ตั้งเป้ารายได้ปี 63 โต 30% หลังออกผลิตภัณฑ์ใหม่-จ่อเพิ่มกำลังผลิต 10% โดย ณ เวลา 15.12 น. ราคาอยู่ที่ 0.66 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 6.45% สูงสุดที่ระดับ 0.74 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 0.62 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4.81 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT ณ เวลา 15.12 น. อยู่ที่ 0.66 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 6.45% สูงสุดที่ระดับ 0.74 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 0.62 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4.81 ล้านบาท

นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด HPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 63 จะเติบโต 25-30% จากปีนี้ หลังจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Petye Eco Absolute ซึ่งเป็นสินค้าประเภทเซรามิกเนื้อสโตนแวร์ชนิดพิเศษ และมีมาร์จิ้นดี คาดว่าจะเริ่มมีการส่งสินค้าและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1/63 ซึ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร ระดับ medium และ medium High

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 10% ในปีหน้า จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3.5 ล้านชิ้น/ปี รวมถึงปรับปรุงเครื่องจักรในส่วนของการผสมดินในช่วงตอนต้นของกระบวนการผลิต เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทย่อย บริษัท เซ็นทรัล ฮอสพิแทลลิที จำกัด (CHL) ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอุปกรณ์สำหรับโรงแรมและร้านอาหาร ที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 98% ก็คาดว่าจะได้รับผลบวกจากนโยบายการท่องเที่ยวไทย จากการคาดการณ์การท่องเที่ยวไทยในกลุ่มตลาดบนจะมียอดเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งน่าจะส่งผลต่อปริมาณการขายของ CHL เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% อีกทั้ง CHL ยังได้เพิ่มกลุ่มลุกค้าในส่วนของห้างค้าปลีก และการขายผ่านออนไลน์ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนรองรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยจะปรับราคาสินค้าขึ้นบางส่วน, นำเงินที่ฝากไว้ในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit: FCD) ไปซื้อวัตถุดิบนำเข้า ซึ่งน่าจะชดเชยค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้ราว 2-3% รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้ในประเทศเป็น 10-15% ในปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ราว 7% เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเป็นหลัก โดยเป็นเงินสกุลหลัก 3 สกุลเงิน คือ ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD), ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และยูโร (EUR)

สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 63 บริษัทฯ คาดว่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 15-20% จากปีนี้คาดจะอยู่ที่ 25-30% เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้ผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่จะเป็นการจ้าง Outsource ผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนอัตรากำไรสุทธิ คาดว่าจะอยู่ในระดับ 6-10% ใกล้เคียงกับปีนี้ที่อยู่ที่ 8-10% จากการลดต้นทุน ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตเพื่อลดการสูญเสียระหว่างผลิต และควบคุมต้นทุนด้านการขายและบริหาร โดยจะนำเงินจาก FCD มาชำระค่าวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงในความผันผวนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงบริษัทฯยังมีแผนจัดหาแหล่งเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนลดลงประมาณ 10-15% อีกทั้งยังมีแผนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปี 63 เพื่อลดค่าไฟฟ้าลงประมาณ 50%

นางสาวนิจวรรณ กล่าวว่า ด้านผลประกอบการในปี 62 บริษัทฯ ยอมรับว่าจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 20-30% หลังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยประมาณ 7%

ด้านงบลงทุนใน 2-3 ปีจากนี้ บริษัทฯคาดว่าจะได้รับเงินจากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ชุดที่ 1 ที่จะครบอายุสัญญาการใช้สิทธิภายในวันที่ 30 ธ.ค.62 และยังมีวอร์แรนต์ชุดที่ 2-4 ที่จะทยอยครบอายุสัญญาการใช้สิทธิไปจนถึงปี 64 เบื้องต้นคาดว่าจะได้รับเงินจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์ รวมทั้งสิ้น 50 ล้านบาท โดยจะนำมาขยายกำลังผลิตทั้งสินค้าเดิมและสินค้าใหม่

Back to top button