5 หุ้น รพ.ตัวท็อป! รับประกันสังคมเพิ่มเงินชดเชย

ข่าวดีต่อโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการประกันสังคม ทางสำนักงานประกันสังคมอนุมัติปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ปี 63 ให้แก่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ 242 แห่ง


เส้นทางนักลงทุน

ข่าวดีต่อโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการประกันสังคม ด้วยทางสำนักงานประกันสังคมอนุมัติปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ปี 2563 ให้แก่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ 242 แห่ง แบ่งเป็นสถานพยาบาลของรัฐ 163 แห่ง และสถานพยาบาลเอกชน 79 แห่ง ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายกรณีค่าบริการทางการแพทย์ โดยอัตราเฉลี่ยต่อผู้ประกันตน 3,959 บาทต่อคนต่อปี แบ่งเป็น

1) ค่าบริการทางการแพทย์ที่เหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญารวม อัตรา 2,839 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งแยกออกเป็นกรณีดังนี้

1.1 กรณีเหมาจ่าย ให้แก่สถานพยาบาลตามจำนวนผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียน อัตรา 1,640 บาทต่อคนต่อปี

1.2 กรณีผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj.RW มากกว่าหรือเท่ากับ 2) อัตรา 746 บาทต่อคนต่อปี

1.3 กรณีผู้ป่วยนอก ที่สถานพยาบาลต้องมีภาระการรักษาผู้ประกันตนป่วยด้วยโรคเรื้อรังอัตรา 453 บาทต่อคนต่อปี

2) ส่วนที่เหลืออีก 1,120 บาทต่อคนต่อปี จะเป็นค่าบริการทางการแพทย์นอกเหนือเหมาจ่าย แยกกรณีอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์บำบัดรักษาโรค การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง การบำบัดทดแทนไต ค่ายานอกบัญชียาหลัก จ(2) ค่ายาต้านไวรัส ค่ายามะเร็งและรังสีรักษา กรณีปลูกถ่ายไขกระดูก กรณีเปลี่ยนกระจกตา กรณีปลูกถ่ายอวัยวะ กรณีทันตกรรม (อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูด ฟันเทียม) กรณีส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ค่าบริการฝากครรภ์ กรณีค่ารักษาพยาบาลสูงเกิน 1 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้พิการที่เป็นผู้ประกันตน

สำหรับการปรับขึ้นอัตราค่าบริการเหมาจ่ายให้โรงพยาบาลปี 2563 นี้ ส่งผลให้กำไรของโรงพยาบาลที่รับประกันสังคมเพิ่มขึ้นราว 5-7%

ผลลัพธ์เป็นบวกต่อโรงพยาบาลที่มีคนไข้ประกันสังคมมากนั่นเอง โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคมมากสุด หลัก ๆ เช่น บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG  และ บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA

เนื่องจากพิจารณาตามสัดส่วนรายได้ช่วงที่ผ่านมา พบว่า ทาง RJH มีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมราว 40% เนื่องจากมีผู้ประกันตนราว 189,000 ราย ถัดมา BCH มีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมราว 33% โดยมีผู้ประกันตนราว 880,000 ราย แล้วทางบริษัทจะเร่งเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนในปี 2563 ให้เป็น 900,000-950,000 ราย

ถัดมา LPH มีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมราว 33% เนื่องจากมีผู้ประกันตนราว 161,000 ราย ถัดมา CHG มีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมราว 32% เนื่องจากมีผู้ประกันตนราว 450,000 ราย และทางบริษัทจะมีการเพิ่มผู้ประกันตนในปี 2563 อีกประมาณ 30,000 ราย

ขณะที่ทาง VIBHA มีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมราว 22% ซึ่งมาจากทางอ้อมผ่านบริษัทลูก

ส่วนประเด็นก่อนหน้านี้ซึ่งทางประกันสังคมมีการแจ้งเรื่อง วงเงินงบประมาณคงเหลือ 2562 ไม่เพียงพอจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj.RW > 2) จึงได้พิจารณาปรับลดวงเงินจากเดิมที่จ่ายในอัตรา 12,800 บาท/Adj.RW เหลือ 7,100 บาท/Adj.RW ซึ่งคาดว่าจะทำให้กลุ่มโรงพยาบาลตั้งรายการสำรองที่เป็นลบในไตรมาส 4/2562  ซึ่งคาดเป็นเพียงผลลบในระยะสั้น

ถึงอย่างไรผลจากการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคมปี 2563 มีน้ำหนักมากกว่าวงเงินงบประมาณคงเหลือ 2562 ไม่เพียงพอจ่ายค่าบริการการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj.RW > 2)  เพราะถึงอย่างไรทางนักวิเคราะห์ก็มองว่ากำไรสุทธิในปี 2563 ของโรงพยาบาลเข้าโครงการประกันสังคมมีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์ที่เหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญา

ดังนั้นผลบวกจากการปรับขึ้นอัตราเหมาจ่ายดังกล่าวทำให้โรงพยาบาลในโครงการประกันสังคมมีแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 ที่เติบโตสดใส ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นโรงพยาบาลประสังคมทั้ง RJH, BCH, LPH, CHG และ VIBHA นั่นเอง

ตบท้ายว่ากันที่นักวิเคราะห์ก็ยังคงแนะนำ “ซื้อ” RJH , BCH, LPH, CHG และ VIBHA เนื่องด้วยราคาหุ้นบนกระดานยังคงมีอัพไซด์ให้นักลงทุนเข้าไปไล่ราคาเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย อย่าง RJH ราคาเป้าหมาย 32 บาท เทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 ม.ค. 2563 ปิดที่ 24.70 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 29.55%

ต่อมา BCH ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท เทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 ม.ค. 2563 ปิดที่ 16 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 40.62% ขณะที่ LPH ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท เทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 ม.ค. 2563 ปิดที่ 4.90 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 14.28%

ส่วน CHG ราคาเป้าหมาย 3 บาท เทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 ม.ค. 2563 ปิดที่ 2.64 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 13.63% และ VIBHA ราคาเป้าหมาย 2.25 บาท เทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 ม.ค. 2563 ปิดที่ 1.67 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 34.73%

ภาพรวมทั้ง 5 หลักทรัพย์ ! สะท้อนว่ายังเป็นหุ้นที่น่าลงทุน !!!!

Back to top button