24 หุ้น SET100 วิ่งสวนตลาดฯ-ไวรัสโคโรนาพ่นพิษ! STA-BGRIM-GULF แชมป์เดือนม.ค.

24 หุ้น SET100 วิ่งสวนตลาดฯ-ไวรัสโคโรนาพ่นพิษ! STA-BGRIM-GULF แชมป์เดือนม.ค.


ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมาไม่ค่อยสดใส เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันทั้งภาวะภัยแล้ง  และประเด็นการเมืองในประเทศหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องกรณี ส.ส. เสียบบัตรแทนกันในการโหวตร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2563 ซึ่งต้องติดตามว่าศาลรัฐธรรมนูญจะกำหนดวันตัดสินเป็นวันที่เท่าไร

อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รุนแรง และทำให้มีผู้เสียชีวิตในจีนพุ่งเกิน 400 ราย และแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2562 ที่ทยอยออมาไม่สดใสถือเป็นแรงกดดันการลงทุนอย่างหนัก

โดยเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม 2563 อ่อนตัวลงกว่า 65 จุด โดยเทียบตั้งแต่ดัชนียืนที่ระดับ 1579.81 จุด ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 1514.14 จุด ณ 31 ม.ค.62  หรือลดลง 4.33%

ภาวะดังกล่าวส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่อ่อนตัวลงแรง อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นบวกสวนตลาดได้อย่างแข็งแกร่งดังนั้น ทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET100 เดือนมกราคม 2563 มานำเสนอโดยครั้งนี้นำเสนอกลุ่มหุ้นที่บวกสวนตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง

โดยคัดเลือกมาทังหมด 24 ตัว อาทิ  STA,BGRIM,GULF,TU,TQM,JMT, SAWAD,OSP,CPF,STEC,CBG,MEGA,CK, CHG,TISCO,KKP,DELTA, HANA,MTC,COM7,JAS,BEM,GFPT,TTWตรงนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นหลุมหลบภัยในยามตลาดผันผวนและมีภาวะเสี่ยงเข้ามากระทบตลาดได้อย่างชัดเจน โดยจะเสนอข้อมูลประกอบ 3 อันดับแรกดังตารางประกอบ

อันดับ 1 บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาหุ้นเดือนมกราคมปรับตัวขึ้น 30% มาอยู่ที่ระดับ 13.00 บาท ณ วันที่ 31ม.ค.63 จากยืนที่ระดับ 10.00บาท ณ 30 ธ.ค.62 คาดเก็งกำไรจากแผนธุรกิจและแนวโน้มกำไรปีนี้สดใส

บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินกำไรในปี 2563 จะกลับมาเติบโตที่ระดับ 974 ลบ. พลิกจากการขาดทุน (คาดการณ์) ในปี 2562 โดยในปีนี้ STA เตรียมที่จะขยายกำลังการผลิตถึงมือยาง +20% เป็น 3 หมื่น ล้านชิ้น/ปี ภายในช่วงไตรมาส 3 ในปีนี้ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังไม่ฟื้นตัวแต่การเติบโตของ STA หลักๆจะมาการการผลิต/ขายถุงมือยาง

ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่ตลาดเข้ามาเก็งกำไรใน STA คือการนำบริษัทลูกอย่างศรีตรังโกลฟส์หรือ STGT เข้ามาเทรดตลาดในช่วง ไตรมาส 3 หลังการ IPO  STA จะยังถือหุ้น STGT อยู่ที่ระดับ 50.7% (ปัจจุบันถือ 73.2%) โดย STGT เป็นบริษัทที่เน้นการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางทางการแพทย์และที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมี Line การผลิตกว่า 124 Line และมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 2.4 หมื่น ล้านชิ้น/ปี ระยะสั้นจากภาวะการระบาดของไวรัสโคโรน่าประกอบกับช่วงไตรมาส 1 ที่เป็น High Season ของคำสั่งซื้อถุงมือยางก็จะทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกมีโอกาสขยายตัวโดดเด่น

 

อันดับ 2 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้นเดือนมกราคมปรับตัวขึ้น 18.10% มาอยู่ที่ระดับ 62.00 บาท ณ วันที่ 31ม.ค.63 จากยืนที่ระดับ 52.50 บาท ณ 30 ธ.ค.62 เนื่องจากแผนงานโดดเด่นและผลงานสดใสต่อเนื่อง

โดยแนวโน้มปี 2563 บริษัทคาดจะมีรายได้รวมเติบโตเกินเป้า 20% อย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับปี 2562 ตามกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นตามแผน และการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการที่เริ่ม COD ในปี 2562 อย่างไรก็ตามอาจมีการปรับเป้าหมายอีกครั้ง หากสามารถปิดดีลเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าได้สำเร็จ

สำหรับงบลงทุนในปี 2563 บริษัทตั้งไว้อย่างน้อย 10,000 ล้านบาท โดยในปัจจุบันการลงทุนโครงการต่าง ๆ ยังอยู่ในกรอบเงินลงทุนที่มีอยู่ ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปีก่อนได้มีการออกหุ้นกู้ไป 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังสามารถออกหุ้นกู้ได้เพิ่มเติม เพราะได้ขออนุมัติวงเงินการออกหุ้นกู้จากผู้ถือหุ้นไว้ประมาณ 70,000-100,000 ล้านบาท และมีนโยบายควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ให้เกิน 2 เท่า

 

อันดับ 3 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นเดือนมกราคมปรับตัวขึ้น 15.96% มาอยู่ที่ระดับ 166.00 บาท ณ วันที่ 31 ม.ค.63 จากยืนที่ระดับ 192.50 บาท ณ 30 ธ.ค.62 คาดเก็งกำไรแผนธุรกิจเด่นแลผลงานเติบโตแข็งแกร่งและต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า GULF ในปี 2562 คาดจะมีกำไรปกติที่ราว 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน โดยกำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 คิดเป็น 80% ของประมาณการทั้งปี  และแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/2562 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน หลังไม่มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์  (COD) โครงการใหม่ และเป็นช่วงโลว์ซีซั่น (low season) ของธุรกิจไฟฟ้า

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF กล่าวไว้ก่อนหน้าว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2562 ไว้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท และในปี 2563 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท เทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้อยู่ที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่ทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้น อาทิ โรงไฟฟ้าไบโอแมส 20 เมกะวัตต์ ใน อ.จะนะ จ.สงขลา, โรงไฟฟ้าพลังงานลม 30-80 เมกะวัตต์ในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในโอมาน เฟสแรก 40 เมกะวัตต์ จากที่มีอยู่ทั้งหมด 5 เฟส กำลังการผลิตรวม 326 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยเข้าระบบทั้งหมดภายในปี 2565 รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าที่บริษัทเข้าซื้อหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเข้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น อาทิ การพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 โครงการมอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง เป็นต้น

สำหรับภาพของกลุ่มบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้ส่วนใหญ่ก็ยังมาจากธุรกิจไฟฟ้า ขณะที่โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานน่าจะเข้ามาในระดับ 5-10% และรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากในประเทศ เพราะโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ปลวกแดง (โครงการ GPD) และบริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด (GSRC) ซึ่งเป็นโครงการ IPP ขนาดใหญ่ก็จะเริ่ม COD ขณะที่บริษัทก็ยังมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ภาครัฐจะเปิดประมูลใหม่เพิ่มเติม เพราะการที่บริษัทเข้าร่วมก็จะทำให้เกิดการแข่งขันในโครงการภาครัฐมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button