ช่วยคนก่อน GDP

ไม่มีใครไม่เห็นด้วย กับมาตรการ “ปิดเมือง” ตามคำสั่งผู้ว่าฯ กทม. มีแต่สงสัยว่าจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เมื่อดูตัวเลขผู้ติดเชื้อ ที่เป็นกราฟพุ่งขึ้น ตามที่แพทย์หวั่นวิตกว่า ถ้าไม่หยุดการเคลื่อนย้ายประชากร ใน 30 วัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงถึง 3.5 แสนคน ตาย 7 พัน


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

ไม่มีใครไม่เห็นด้วย กับมาตรการ “ปิดเมือง” ตามคำสั่งผู้ว่าฯ กทม. มีแต่สงสัยว่าจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เมื่อดูตัวเลขผู้ติดเชื้อ ที่เป็นกราฟพุ่งขึ้น ตามที่แพทย์หวั่นวิตกว่า ถ้าไม่หยุดการเคลื่อนย้ายประชากร ใน 30 วัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงถึง 3.5 แสนคน ตาย 7 พัน

กับอีกข้อ ที่ประชาชนสงสัย คือทำงานกันอย่างไร ไม่สื่อสาร โฆษกรัฐบาลกลับบอกสื่อว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ทั้งที่ข่าว “ปิดห้างปิดตลาด” ออกมาจากศูนย์ข่าว กทม.

มีข้อสังเกตว่า ทำไมต้องให้ผู้ว่าฯ กทม.ออกคำสั่ง แล้วผู้ว่าฯ ปริมณฑลทยอยตาม ทั้งที่ควรเป็นคำสั่งรัฐบาล และน่าจะเป็นมาตรการที่เตรียมไว้แล้ว หลังนายกฯ พบทีมอาจารย์แพทย์เมื่อวันศุกร์ (คือเพิ่งจะยอมทำตามคำแนะนำทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อสถานการณ์มาถึง Point of No Return)

แน่ละครับ ผู้ว่าฯ อัศวินออกคำสั่งไม่ได้หรอก ถ้านายกฯ ไม่ไฟเขียว แต่นี่คือให้ผู้ว่าฯ เป็นด่านหน้า ทั้งที่น่าจะเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล

ปัญหาคือผู้ว่าฯ มีแต่อำนาจบังคับ ใครไม่ทำตามทั้งจำทั้งปรับ แต่ไม่มีอำนาจช่วยเหลือเยียวยา ทำให้คนที่ต้องหยุดงานตามคำสั่ง แห่เคลื่อนย้ายกลับต่างจังหวัด ซึ่งกลัวกันว่า จะยิ่งแพร่เชื้อไปใหญ่

รักพ่อแม่ อย่ากลับบ้านต่างจังหวัด work from home ที่ กทม.เถอะชาวเน็ตช่วยกันเรียกร้อง แต่จะให้เขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร คนได้รับผลกระทบ พนักงานขายตามห้างร้าน ช่างเสริมสวย เด็กเสิร์ฟตามผับบาร์ ฯลฯ ไม่ใช่คนชั้นกลางไวไฟ work from home สั่งแกร็บ ดู Netflix ไม่ใช่ข้าราชการที่มีบำนาญตลอดชีวิต

แม้ประกันสังคมจ่ายค่าจ้าง 50% ตามเวลาที่รัฐสั่งหยุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานนอกระบบ รับค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมง รายชิ้น หรือพึ่งค่าทิป ไม่ได้สิทธิประกันสังคม

ข้อเรียกร้องไม่ให้กลับชนบทจึงพูดง่าย แต่ทำไม่ได้ เหมือนดาราอยู่บ้านสบายๆ โพสต์คลิปสั่งสอนประชาชนให้พึ่งธรรมะ

กรมควบคุมโรคออกหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้จัดทำแผนปฏิบัติการค้นหา เฝ้าระวัง และป้องกันโรค ระดับอำเภอและหมู่บ้าน กรณีผู้เดินทางกลับจากกรุงเทพฯ ปริมณฑล ให้จัดทำฐานข้อมูล แยกตัวสังเกตอาการ 14 วัน ให้ขนส่ง รถไฟ ทำทะเบียนผู้โดยสาร ฯลฯ เหมือนคนเดินทางกลับจากต่างประเทศก่อนหน้านี้

ก็เข้าใจได้ ในความหวั่นเกรง แต่หวังว่าจะไม่กลายเป็นตั้งข้อรังเกียจคนตกงานเป็น “ผู้ร้าย”

สิ่งที่ขาดหายไปคือการเยียวยาให้ตรงเป้า ซึ่งควรจะขึ้นทะเบียนผู้ประกอบกิจการ ลูกจ้าง ที่ต้องหยุดงาน ออกมาตรการช่วยเหลือตามประเภทกิจการ กลุ่มอาชีพ ทั้งช่วยเหลือโดยตรงหรือช่วยเจ้าของกิจการ เช่นลดภาษีลดค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟเป็นพิเศษ หากรับประกันว่าจะดูแลลูกจ้าง

นี่คือสิ่งที่ผู้นำทั่วโลกเขาทำกัน เพื่อให้คนอยู่บ้าน หยุดเชื้อ อย่างได้ผล โดยไม่ต้องไปอ้างเพื่อชาติเพื่อไทย เพราะทุกคนกลัวตาย ไม่มีใครอยากออกจากบ้านหรอก ถ้ามีกิน

รัฐบาลอังกฤษจ่ายคนตกงาน 80% ของรายได้เป็นเวลา 3 เดือน รัฐบาลสหรัฐฯ แจกครอบครัวละ 1,000 ดอลลาร์ แต่เจ้าตำรับแจกหัวละพันวันนี้ไม่กล้า

ถามว่าต่างกันตรงไหน ทำไมถึงโดนด่า ก็เพราะความคิดแจกหัวละ 2 พันในตอนนั้นมันหวังกระตุ้นเศรษฐกิจพร่ำเพรื่อ กลัว GDP ถดถอย ไม่ใช่ช่วยคนได้รับผลกระทบ

นี่เป็นเส้นแบ่งสำคัญ ระหว่าง “ช่วยคน” กับ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ช่วยคนต้องมาก่อน ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐ ทุ่มงบสาธารณสุข งบฉุกเฉินเพื่อป้องกันรักษา จะให้ดีก็ทำงบใหม่ ตัดงบซื้ออาวุธทิ้งไปเลย

แต่ไม่ใช่มาตรการช่วยคนยังไม่ออก ออกมาตรการช่วยตลาดการเงิน ตลาดตราสารหนี้ก่อน ต่อให้อธิบายว่าป้องกันผลกระทบวงกว้าง ก็ถูกด่าแน่นอน ว่าอุ้มคนรวย

Back to top button