WHA ปรับโครงสร้างผถห.โยนบิ๊กล็อต 3.36 พันลบ. หนุนตระกูล “พู่พิสุทธิ์” ขึ้นอันดับ 4

WHA ปรับโครงสร้างผถห.โยนบิ๊กล็อต 3.36 พันลบ. หนุนตระกูล "พู่พิสุทธิ์" ขึ้นอันดับ 4


จากกรณีวันนี้ (2 เม.ย.) มีรายการสรุปซื้อขายกระดานรายใหญ่ (Big lot) ของหุ้น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จำนวน 3 รายการ ปริมาณ 1,718,968,300 หุ้น มูลค่ารวม 3.36 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ย 1.94 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาต่ำกว่ากระดานซื้อขายราว 10%

ล่าสุดบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) วันนี้ว่า การขายหุ้นจำนวนดังกล่าวผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ โฮลดิ้ง จำกัด มีแผนที่จะขายหุ้นในบริษัท รวมทั้งสิ้นจำนวน 3,435,869,252 หุ้น หรือคิดเป็น 22.99% โดยแบ่งขายให้บุคคลดังนี้ นางสาวจรีพร จารุกรสกุล จำนวน 1,717,900,000 หุ้น คิดเป็น 11.49% ซึ่งได้ทำการขายแล้วในวันนี้ (2 เม.ย.)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) จะดำเนินการขายหุ้นให้กับนางสาวชัชชมนต์ อนันตประยูร จำนวน 769,569,252 หุ้น หรือ 5.15% ,นายชัยวัฒน์ พู่พิสุทธิ์ จำนวน 474,200,000 หุ้น หรือ 3.17% และนางสาวสุพิชญา พู่พิสุทธิ์ จำนวน 474,200,000 หุ้น หรือ 3.17%

ทั้งนี้ ภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้จะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่เปลี่ยนแปลง โดยกลุ่มนางสาวจรีพร จารุกรสกุล จะคงเหลือการถือหุ้นใน WHA จำนวน 33.23% จากเดิม 39.58% ซึ่งประกอบด้วย นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ถือหุ้น 21.64% จากเดิม 10.15% ,นางสาวชัชชมนต์ อนันตประยูร ซึ่งเป็นบุตรสาว ถือหุ้น 8.29% จากเดิม 3.14% และบริษัท ดับบลิวเอชเอ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 3.30% จากเดิม 22.99%

ส่วนนายชัยวัฒน์ พู่พิสุทธิ์ ถือหุ้น WHA เพิ่มเป็น 4.19% จากเดิม 1.02% และนางสาวสุพิชญา พู่พิสุทธิ์ ถือหุ้นเพิ่มเป็น 4.20% จากเดิม 1.03%

ทั้งนี้บริษัทยืนยันการขายหุ้นดังกล่าวข้างต้น ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจในการควบคุมบริษัทนโยบายการดำเนินธุรกิจ และโครงสร้าง ของคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหาร โดยยังคงเป็นไปตามเดิม

ทั้งนี้ตั้งเป็นข้อสังเกตสำหรับการเข้ามาถือหุ้นเพิ่มของ นางสาว สุพิชญา พู่พิสุทธิ์  และนาย ชัยวัฒน์ พู่พิสุทธิ์ ซึ่งภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 25 มี.ค. 2563 พบว่า เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 11 และ 12 ตามลำดับ แต่ภายหลังการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มล่าสุดจะทำให้กลุ่มตระกูล “พู่พิสุทธิ์” มีสัดส่วนรวมกันราว 8.39% ซึ่งจะส่งผลให้ขึ้นแท่นเป็นผุ้ถือหุ้นใหญ่อับดับ 4

Back to top button